เราพูดถึง Maldives มาหลายกระทู้แล้ว ตั้งแต่ก่อนเริ่มวางแผนเที่ยวจนถึงการเลือกโรงแรม ตาม Link ด้านล่างไปตามอ่านกันได้
Hello Maldives : มารู้จักมัลดีฟส์ก่อนวางแผนเที่ยว
Hotel in Maldives : เลือกโรงแรมยังไงให้เหมาะกับเรา??
ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เป็นทริปไฟลนมาก คือแบบว่าคุณแม่ท้อง 7 เดือน แต่อยากไปเที่ยว แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนที่ไม่ต้องเดินมาก สุดท้ายก็มาจบลงที่มัลดีฟส์ คือไปนั่งๆ กินๆ นอนๆ เล่นน้ำๆ อยู่หน้าที่พักน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ทุกอย่างเลยทำก่อนจะถึงวันเดินทางแค่ 2 อาทิตย์ เราเลยพึ่งพาบริการจาก Maldives Expert ให้เป็นคนดูแลจัดการเรื่องการจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินให้ โดยการที่เราเลือกโรงแรมที่เราต้องการไปให้ทาง Maldives Expert เพื่อเช็คราคาให้ประมาณ 3-4 ที่ ที่พักที่เราเลือกทั้งหมดจะเป็นที่พักที่ไปถึงโดย Seaplane เพื่อให้กระทบกระเทือนท้องน้อยที่สุด ดีกว่าการนั่ง Speedboat คุณถิงถิงจากทาง Maldives Expert ให้บริการดีมาก รวมถึงให้คำแนะนำต่างๆ ในการไปเที่ยวมัลดีฟส์ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะจ๊ะ ชมจากใจล้วนๆ)
สุดท้ายก็มาจบที Conrad Rangali Resort&Spa ที่ตอนนั้นมีโปรพัก 4 คืนจ่าย 3 คืน ที่พักเป็นแบบ Superior Water Villa รวม Half Board และอีกเหตุผลนึงที่เลือกที่นี่ คือ เราอยากมีประสบการณ์การกินอาหารที่ห้องอาหารใต้น้ำที่ชื่อว่า Ithaa undersea restaurant (เดี๋ยวจะมารีวิวประสบการณ์นี้อีกทีนะ กระทู้นี้จะพาไปดูโรงแรมและวิธีการเดินทางมาก่อน )
ทริปนี้เราใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ออกจากเมืองไทย 9.30 น. ไปถึงที่สนามบินของมัลดีฟส์ประมาณ 11.40 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4.30 ชั่วโมง ที่เลือกสายการบินนี้เพราะว่าเรามีเวลาไม่มี เลยไม่อยากต่อเครื่องให้เสียเวลา ที่สุวรรณภูมิมี Lounge ของ Bangkok Airway ให้เราได้ไปหาอะไรกินรองท้องก่อน อาหารก็เป็นพวกแซนวิช ข้าวต้มมัด มัฟฟิน รสชาติใช้ได้เลย ของฟรี เราก็ต้องใช้บริการซักหน่อย เพราะอาหารในสนามบินก็แพงเกิ้น
มัลดีฟส์เป็นประเทศที่ไม่ต้องมีการขอวีซ่า เราสามารถอยู่ในมัลดีฟส์ได้ไม่เกิน 30 วัน บนเครื่องเค้าจะมีการแจ้งใบ Immigration form แนะนำให้กรอกไปตั้งแต่บนเครื่องจะได้ไม่เสียเวลาตอนผ่าน ตม.
สนามบิน Velana ที่มัลดีฟส์เป็นสนามบินเล็กๆ พอเครื่องบินจอดก็แทบจะเดินจากเครื่องบินมาเข้าตัวตึกของสนามบินได้เลย ใช้เวลาในการผ่าน ตม ไม่นานถ้าเรากรอกเอกสารมาครบ ออกจากสนามบินแล้ว แต่ละโรงแรมก็จะมีคนมายืนรอรับเราอยู่อย่างของเราไป Conrad ก็จะมีพนักงานของ Conrad ถือป้ายชื่อเราอยู่และจะพาเราไป Check-in กระเป๋าเพื่อขึ้น Seaplane ด้านหน้าสนามบินเลย Seaplane จะมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดกระเป๋าในการนำขึ้นเครื่องว่าน้ำหนักมากสุดไม่เกิน 5 กิโลกรัม และมีขนาดกำหนดไว้ดูจากรูปได้ กระเป๋าทุกใบต้องถูกชั่งและติดสติกเกอร์ไว้ ถ้าเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เราจะ Check-in ที่สนามบินได้เลย หลังจากนั้นรถของโรงแรมจะพาเราไปยังสนามบินของ Seaplane ที่แยกออกไปจากสนามบิน Velana ซึ่งไม่ไกลกันมาก
แต่ละโรงแรมจะมี Lounge เป็นของตัวเองให้เรานั่งคอย ใน Lounge ก็มีอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยให้บริการ

ไม่ใช่ว่าเราไปถึงที่สนามบินของ Seaplane แล้วเราจะไปได้เลย เราต้องนั่งรอ เพื่อให้เค้าจัดสรรว่าเราจะได้ไปลำไหน เพราะ Seaplane 1 ลำ อาจจะแวะไปหลายรีสอร์ทที่ไปในทางเดียวกัน เราต้องแอบถามเค้าเวลาลงจอดว่าที่นี่เป็นโรงแรมอะไร
Seaplane 1 ลำจะมีที่นั่งทั้งหมด 16 ที่นั่ง ไม่มีแอร์นะจ๊ะ ลมธรรมชาติล้วนๆ แอบเหม็นกลิ่นน้ำมันด้วยเวลาเครื่องขึ้นลง อยากได้วิวสวยแนะนำให้นั่งหน้าสุดที่ติดกับกัปตัน เพราะว่าปีกของเครื่องบินจะไม่บังเวลาที่เราถ่ายรูปลงมาด้านล่าง แต่ที่นั่งตรงนั้นเหมือนทองคำ ใครๆก็อยากได้ พยายามอย่างสุดๆ ก็ไม่ได้นั่งอยู่ดี เพราะทุกคนก็คิดเหมือนกันหมด
ในเครื่องบินที่นั่งจะแคบกว่าปกติ นั่งกันนี่ตัวลีบเลย มีพนักงานดูแลบนเครื่องบิน 1 คน และกัปตันอีก 2 คน พนักงานบนเครื่องบินจะแจกที่อุดหูมาให้ เพราะเวลาเครื่องขึ้นเสียงดังมว๊ากกกก และเหม็นน้ำมันมากเช่นกัน ตอนนั่งเครื่องเราไม่รู้สึกเมาเครื่องบินเลย แต่พอเครื่องลงจอดแต่ละรีสอร์ทแล้วต้องรอคนลง เอาของลง เครื่องบินมันลอยอยู่บนทะเล เอียงไปเอียงมา เมาคลื่นสิ แทบอ้วก กว่าจะถึงรีสอร์ทตัวเองซึงโชคร้ายว่าเป็นรีสอร์ทสุดท้าย ก่อนหน้านี้ต้องแวะไปก่อน 3 ที่ ลงจากเครื่องเท่านั้นแหละ วิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทันเลย เมาคลื่น



ภาพวิวระหว่างนั่งบน Seaplane
ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ช้าเพราะแวะไปหลายรีสอร์ท กว่าจะมาถึง Conrad ที่เป็นรีสอร์ทสุดท้าย Conrad จะแบ่งเป็นสองเกาะ คือ Rangali Island กับ Main Island จะมีสะพานยาวเชื่อมระหว่าง 2 เกาะ ตรงกลางสะพานจะเป็น Reception ไว้จอด Seaplane จะมีพนักงานของโรงแรมมาคอยต้อนรับลงจากเครื่องและพาเราไปพักรอที่ห้องรับรอง ก่อนจะแยกย้ายไป Reception ในแต่ละเกาะ


เราพักห้องที่เป็น Superior Water Villa เลยพักที่ Rangali Island ระหว่าง 2 เกาะ สามารถเดินทางด้วยการเดิน เรือ Dhoni หรือไม่ก็เรียกรถ Buggy ให้มารับได้ แต่ละห้องจะมี Butler ส่วนตัวห้องละ 1 คน เค้าจะให้เบอร์ติดต่อเราไว้ มีอะไรเราสามารถใช้โทรศัพท์ที่ห้องโทรเรียกเค้ามาได้ หรือจะสอบถามหรือให้จองห้องอาหารให้ก็ได้ เค้าจะเป็นคนดูแลเราตลอดเวลาที่เราพักอยู่ที่นั้น
ส่วนมากเค้าจะจัด Butler ที่สามารถพูดภาษาเดียวกันกับแขกที่มาพักได้ แต่ที่นั้นไม่มี Butler ที่สามารถพูดไทยได้ เราเลยได้ Butler เป็นสาวญี่ปุ่นน่ารัก ชื่อ มิกิ พูดภาษาอังกฤษฟังง่าย เลยสามารถสื่อสารกันง่ายหน่อย เราเดินทางไปที่ Reception ของ Water Villa โดยใช้ เรือ Dhoni ซึ่งเป็นเรือท้องถิ่นของที่นี่ เรือ Dhoni จะวิ่งระหว่าง Rangli Island กับ Main Island ทุกๆ 15 นาที จะวิ่งตั้งแต่เช้า 7.00 -18.00 น. กลางคืนเค้าจะไม่วิ่ง

ลงเรือ Dhoni ก็โชคดีมาก มี Manta Ray หรือกระเบนราหู และฝูงปลาตัวน้อยมาทักทายถึงท่าเรือเลย

Reception ฝั่ง Rangali Isaland เงียบมาก แทบจะไม่มีคนเลย ไม่คึกคักเหมือนฝั่ง Main Island

จากนั้น Butler ก็จะแนะนำ Facilities ต่างๆ ของโรงแรมให้เราได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง มีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง และก็จะพาเราไปยังที่พัก


บ้านพักจะแบ่งเป็นโซน โซนของเราจะเป็น Superior Water Villa จะมีบ้านพักใกล้ๆกันประมาณ 4 หลัง พอมาถึงมีเจ้าปลาฉลาดตัวเล็กมาทักทายถึงหน้าบ้านเลย Butler บอกว่าฉลามที่นี่ไม่กัดคน ….. นึกในใจ จ๊ะไม่กัด แต่ก็แอบกลัวเบาๆ เพราะมันขึ้นชื่อว่าฉลามเนอะ ระหว่างไปอยู่ที่นั้นเจอฉลามบ่อยมาก บ่อยกว่า Manta Ray อีก

อวดห้องพักกันซะหน่อย ห้องพักกว้างขว้างเตียงนอนหันหน้าออกสู่ทะเล มีโซฟาปลายเตียง เผื่อให้เรานั่งจิบชา กาแฟชมทะเล ด้านในห้องจะแบ่งเป็นห้องเก็บเสื้อผ้า แล้วก็ห้องน้ำ ซึ่งกว้างมาก มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ริมกระจกที่สามารถชมวิวทะเลด้านนอกได้ อ่างล้างหน้า 2 อ่าง ไม่ต้องแยกกันใช้ ห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกออกจากกัน ถ้าใครจะไป Honeymoon ให้แจ้งทางโรงแรมตั้งแต่จอง เค้าจะจัดตกแต่งห้องสำหรับคู่ Honeymoon ให้ มีแชมเปญ 1 ขวด และก็ Dinner ฟรี 1 มื้อ แ ต้องโชว์การ์ดแต่งงานให้เค้าดูด้วย ว่าเราแต่งงานจริงๆนะ แต่มันมีระยะเวลา ไม่แน่ใจว่าภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปี








แต่น่าเสียดายที่สุด ช่วงที่เราไปกันนั้นเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังแถวนั้นเป็นสีขาว ลักษณะเหมือนปะการังตาย เค้าบอกว่าเกิดจากการที่โลกร้อนขึ้น ทำให้ปะการังแถวนั้นไม่สวยงามเท่าที่ควรจะเป็น และน้ำตรงที่พักเราก็แอบตื้น ถ้าเล่นกลางวัน ก็แอบไม่เหมาะเท่าไหร่ สำหรับอุปกรณ์ดำน้ำ Snorkeling ไม่ต้องแบกมาให้เมื่อย เราสามารถไปยืมได้ที่ Dive Center ที่ Main Island แล้วก็ไปยืมชูชีพที่ Sport Center แต่เค้ามีข้อห้าม ว่าเราห้ามใช้ชูชีพที่อยู่ในห้อง เพราะว่าชูชีพอันนี้จะเป็นชูชีพสำหรับ Rescue ให้ความช่วยเหลือเวลาตกน้ำเท่านั้น Dive Center นอกจากจะให้เราสามารถยืมอุปกรณ์ Snorkeling ได้แล้ว เค้ายังมีพวกทัวร์ไปดำน้ำข้างนอก หรือว่าทัวร์ชมปลาฉลามวาฬ ซึ่งตารางเวลาสามารถขอได้ที่โรงแรม ว่าแต่ละวันจะมีโปรแกรมทัวร์อะไรบ้าง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มต่างหาก


อุปกรณ์ Snorkeling ที่ยืมมาจาก Dive Center จะมีมาครบเซ็ทเลย พร้อมกระเป๋าใส่ให้เรียบร้อย ยืมวันแรกที่ไป และก็เอาไปคืนวันที่จะกลับได้เลย

ส่วนเสื้อชูชีพ สามารถยืมได้ที ่Sport Center ซึ่งหาไม่ยาก อยู่ติดกับหน้าหาดของฝั่ง Main Island เลย ข้อเสียคือเสื้อชูชีพต้องคืนวันต่อวัน เพราะว่าพนักงานต้องทำความสะอาดและเช็คจำนวนทุกวัน ที่ Sport Center ก็มีกิจกรรมทางน้ำให้เลือกเล่นหลายชนิด บางอย่างเสียเงินเพิ่ม บางอย่างฟรี มีตั้งแต่เรือถีีบ เรือแคนนู เจ็ทสกี

สระว่ายน้ำมี 2 ฝั่งคือ Main Island จะเป็นสระใหญ่ และมีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กด้วย ส่วนฝั่ง Rangali Island จะเป็นสระสำหรับผู้ใหญ่อย่างเดียว ไม่อนุญาตให้เด็กลงเล่นน้ำ โดยส่วนตัวชอบสระว่ายน้ำฝั่ง Rangali Island มากกว่าเพราะว่าสงบ และก็คนน้อยกว่ามาก




ห้องอาหารหลักของที่นี่ ชื่อ Atoll Market เป็นห้องอาหารขนาดใหญ่ ใช้สำหรับทานบุฟเฟ่ทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น ไลน์อาหารเช้ามีให้เลือกหลากหลายดี ถึงแม้ว่าคนจะเยอะ แต่ก็ไม่อึดอัด เพราะห้องอาหารค่อนข้างโปร่ง มีอาหารนานาชาติ ไทย จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย
ส่วนอาหารเย็นก็จะมีพวกอาหารทะเล แต่เป็นแบบอาหารทะเลแช่แข็ง แต่ก็สดอร่อย แอบพกน้ำจิ้มซีฟู๊ดไปด้วย เลยฟินมากมาย เพราะน้ำจิ้มอาหารทะเลเค้าจะเป็น มะนาว กับ น้ำจิ้มคล้ายๆซีอิ๊ว
สำหรับคนที่พักอยู่ฝั่ง Rangali Island จะมีห้องอาหารเช้าให้เลือกอีกที่นึง ชื่อ Vilu Restaurant and Bar ห้องอาหารนี้ไลน์อาหารจะไม่ใหญ่เท่ากับ Atoll จะมีไลน์อาหารแค่ขนมปัง กับผลไม้ ส่วนอาหารหลักจะให้เลือกตามเมนู





ถ้าอยากมานั่งชมวิวทะเลชิวๆ ที่นี่ก็จะมีบาร์ให้เลือก ถ้าอยากได้แบบเงียบสงบ แนะนำให้ไปที่ The Lounge at the Quiet Zone Bar มีเครื่องดื่มให้เลือกทั้งแบบ Alcohol และ Non-Alcohol บรรยากาศสวยงามทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็มานอนดูดาวที่นี่ก็ชิวไปอีกแบบ
The Lounge at the Quiet Zone Bar
Rangali Bar
ชื่อ Rangali Bar แต่ว่า Bar นี้อยู่ฝั่ง Main Island อยู่หน้าห้องอาหาร Atoll Market บาร์นี้จะต่างกับ The Lounge at the Quiet Zone Bar ตรงที่คนจะเยอะมาก ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวบาร์นี้ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ แต่เอาไว้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเล่น ก็ได้อยู่
สำหรับอาหารเย็นที่ได้มาตาม Package Half Board นั้นเราสามารถทานได้ที่ห้องอาหาร Atoll Market โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่กรณีที่เราอยากที่จะไปเปลี่ยนบรรยากาศทานอาหารที่ห้องอาหารอื่นบ้าง เราก็สามารถทำได้ โดยจะมีงบให้สำหรับค่าอาหารคนละ 75 USD ส่วนค่าน้ำเราต้องจ่ายเพิ่มเอง ไหนๆก็มาแล้วเราก็ต้องลองห้องอาหารอื่นบ้าง ** ห้องอาหารที่ไม่ใช่ Atoll Market ถ้าอยากจะไปใช้บริการ เราต้องจองล่วงหน้า เพราะว่าที่นั่งค่อนข้างมีจำกัด
Sunset Bar and Grill
เป็นห้องอาหารที่อยู่ติดริมทะเล เอาไว้ชมพระอาทิตย์ตกดิน แต่พอดีวันที่เราไปเมฆเยอะมาก เหมือนฝนจะตก เลยอดเห็นพระอาทิตย์ตกดินเลย





อีกห้องอาหารนึงที่ไปลองคือห้องอาหาร Mandhoo Spa Restaurant เราได้แพคเกจ Honeymoon เลยได้มาทานอาหารค่ำที่ห้องอาหารนี้ฟรี 1 มื้อ แต่ว่าต้องจองล่วงหน้า นี่เราไปถึงวันพฤหัส ขนาดจองวันที่ไปถึงเลย ยังได้กินวันเสาร์ เพราะว่าห้องอาหารเต็ม
Mandhoo Spa Restaurant
ห้องอาหารนี้อยู่บน Main Island ค่อนข้างใกล้จากที่พักของเราพอสมควร ต้องใช้ Buggy ให้พามาส่งเดินไปไม่ไหว พอมาถึงก็สวยคุ้มค่ากับที่นั่งรถมาไกล





จบแล้วสำหรับการรีวิวร้านอาหาร ก่อนจะไปจะพาไปชมบรรยากาศรอบๆรีสอร์ท
ปะการังรอบๆโรงแรม ที่ตอนนี้เกิดสภาวะปะการังฟอกขาวเลยไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ ถ้าใครอยากมาเพื่อดูปะการังน้ำตื่นรอบๆโรงแรม ที่นี่คงไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่
บรรยากาศรอบๆโรงแรม

สามารถติดตามพูดคุยกับเราได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้
Facebook : https://www.facebook.com/TravellingAsACouple
Website : https://travelling-as-a-couple.com/
Instagram : Travelling As A Couple