Hotel in Maldives : เลือกโรงแรมยังไงให้เหมาะกับเรา??

จะไปมัลดีฟส์ทั้งที เลือกที่พักแบบไหนดีนะ ???

หลักเราต้องมาดูปัจจัยหลักๆ ก่อนเลือกที่พักก่อน

งบประมาณมีเท่าไร

เงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในทริป ต้องมาดูว่าเราวางงบประมาณสำหรับทริปนี้ไว้เท่าไรต่อคน เพื่อที่จะได้ดูว่าจะจัดสรรยังไง ให้อยู่ในงบที่เราตั้งไว้ ถ้าอยากไปในงบประมาณที่ไม่แพงมากนัก ก็ต้องเลือกไปในช่วงที่เป็น Low Season ช่วงประมาณเดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม ซึ่งราคาที่พักก็จะถูกก รวมถึงตั๋วเครื่องบินด้วย แต่ข้อเสียคือ Low Season จะเป็นหน้าฝน ที่ฝนจะตกชุก อาจจะต้องทำใจว่าต้องมีเจอฝน หรือว่าท้องฟ้าไม่แจ่มใสบ้าง แต่ถ้าเทียบกับราคาที่ถูกลง ก็ถือว่าคุ้มอยู่นะ

อยากได้ที่พักแบบไหน??

ที่พักในรีสอร์ทต่างๆ ของมัลดีฟส์จะมีหลายรูปแบบ โดยห้องพักแต่ละแบบก็มีจะมีราคา และรูปแบบที่แตกต่างกัน จะเลือกห้องพักแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละคน

Garden Villa ห้องพักแบบนี้จะถูกที่สุดของทั้ง 3 แบบ แต่ถ้าถามว่ามาถึงมัลดีฟส์ ที่ที่ทะเลสวยที่สุดแล้วจะมาพักแบบ Garden Villa ก็น่าเสียดายอยู่ เพราะเป็นห้องพักที่ไม่ติดทะเลเลย ไม่ได้บรรยากาศของการมาเที่ยวมัลดีฟส์ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีทะเลสวยน้ำใส เพิ่มเงินอีกนิด ไปอยู่ Beach Villa น่าจะดีกว่า แต่ถ้างบประมาณมีจำกัด ก็ต้องเป็นห้องประเภทนี้

Beach Villa ราคาห้องพักจะแพงกว่า Garden Villa ข้อดีคือติดทะเล เดินออกมาจากห้องพักก็เจอหาดทรายขาว น้ำทะเลใสเลย เหมาะกับคู่รักที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีเก้าอี้ชายหาดไว้นอนชมวิวทะเลเพลินๆ หน้าห้องเลย

Water Villa ห้องพักแบบนี้จะเป็นห้องพักที่แพงที่สุด แต่ละรีสอร์ทจะมี Water villa หลายแบบ
- Jacuzzi Water Villa
- SunSet Water Villa
- Sunrise Water Villa

ยิ่ง option ยิ่งเยอะแค่ไหน ราคาห้องพักก็จะแพงขึ้นมาเป็นเงาตามตัว แต่ถือเป็นห้องพักที่ใครที่มามัลดีฟส์ก็ใฝ่ฝัน อยากจะมาพัก Water Villa แบบนี้ ห้องพักจะกว้างขวาง สร้างยื่นลงไปในทะเล ได้บรรยากาศที่เหมือนนั่งชมทะเลตลอดเวลา สามารถเล่นน้ำ หรือดำน้ำ จากหลังห้องได้เลย ยิ่งมี Jacuzzi นี่ยิ่งโรแมนติกสุดๆๆ แช่ Jacuzzi พร้อมชมวิวทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา เหมาะสำหรับคู่รัก คู่ Honeymoon สุดๆๆ

แต่การพักแบบ Water Villa อาจจะมีข้อจำกัดสำหรับครอบครัวที่พาเด็กมาด้วย หลายรีสอร์ทจะไม่อนุญาตให้เด็กพักที่ Water Villa เพราะกลัวเด็กๆ อาจจะพลัดตกน้ำได้ หรืออาจจะส่งเสียงดังรบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพัก ห้องพักแบบนี้จึงไม่เหมาะกับการมาเป็นครอบครัว และ พาเด็กมาด้วย

จะนั่ง Seaplane , Speed boat ??

การเดินทางจากสนามบินนานาชาติไปยังรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกาะกลางทะเล สามารถเดินทางได้ 2 วิธี ขึ้นอยู่กับความใกล้ไกลของรีสอร์ท

Speed Boat
Seaplane

บางคนอาจจะคิดว่าไหนๆ ก็มาแล้วต้องนั่ง Seaplane ซักครั้งนึงในชีวิต แต่ราคาของ Seaplane จะแพงกว่า Speed Boat เยอะ ทำให้ค่าใช้จ่ายในทริป อาจจะแพงขึ้นไปอีก แต่ก็จะแลกมากับสภาพของปะการังที่ดีกว่า เพราะรีสอร์ทที่ใช้ Seaplane มักจะห่างจากสนามบินประมาณ 40-100 กิโลเมตร ทำให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า ถ้ามีเวลามาก และมีงบประมาณเยอะ ก็แนะนำให้ไปรีสอร์ทที่นั่ง Seaplane จะได้บรรยากาศกว่าเยอะเลย

แต่ถ้าอยากไปแบบราคาประหยัด Speed Boat ก็จะตอบโจทย์ข้อนี้ เพราะว่าราคาถูกกว่าการนั่ง Seaplane เยอะ แต่ความสวยงามและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ก็จะสู้รีสอร์ทที่นั่ง Seaplane ไม่ได้

All Inclusive / Full Board / Half Board เลือกแบบไหนดี ???

Half Board (HB) จะเป็นราคาห้องที่จะรวมอาหาร 2 มื้อ คืออาหารเช้า และ อาหารกลางวัน หรือ อาหารเย็น ไม่รวมเครื่องดื่ม แล้วแต่โรงแรมกำหนดว่าจะเป็นมื้อไหน และส่วนมากจะมีการกำหนดเวลารับประทานและห้องอาหารเอาไว้แล้ว ยิ่งถ้าเป็น HB ที่ตรงกับเวลากลางวัน อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบออกไปทำกิจกรรมนอกรีสอร์ท เพราะเท่ากับว่าเราจะเสียมื้อกลางวันของวันที่ออกไปทำกิจกรรมไปเลย HB จะเหมาะกับคนที่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ กินอาหารห้องอาหารอื่นของทางโรงแรมบ้าง ก็ให้เลือกแบบนี้

Full Board (FB) ราคานี้จะรวมค่าห้องพร้อมอาหาร 3 มื้อ แต่ว่าไม่รวมเครื่องดื่ม เป็นแบบที่เหมาะสำหรับการควบคุมค่าใช้จ่าย ถ้าไม่ได้กินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะสบายเลย เพราะว่าจ่ายแค่ครั้งเดียว แล้วไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะว่าทุกมื้อก็จะกินอาหาร Buffet ที่ห้องอาหารตามที่โรงแรมกำหนด แต่ข้อเสียคือ เราจะไม่ได้ความหลากหลายในการเลือกกินอาหาร อาหารก็จะเป็นแบบเดิมๆ ตามที่โรงแรมจัดมาให้เท่านั้น

All Inclusive (AL) ราคานี้จะรวมค่าห้องพร้อมอาหาร 3 มื้อ รวมเครื่องดื่ม ซึ่งรวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการดริ๊งค์ ชอบกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบไม่จำกัด ในงบที่จำกัดเอาไว้แล้ว เพราะราคาอาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างรวมอยู่ใน Package