Interlaken & Jungfrau !!! ที่นี่มีอะไรดี ?? 

Interlaken เป็นเมืองที่อยู่ตอนกลางของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาด มีทางน้ำไหลผ่านกลางเมือง เชื่อมทะเลสาบทูนและทะเลสาบบรีเอนซ์ เข้าด้วยกัน เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า เมืองระหว่างทะเลสาบ
ความสำคัญของเมืองนี้อีกอย่างคือ เป็นจุดเริ่มต้นสู่ Jungfraujoch ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ และถูกขนานนามว่าเป็น Top of Europe
การเดินทางมาที่ Interlaken
เราเลือกที่จะนั่ง Golden Pass Line ซึ่งเป็นหนึ่งในสายรถไฟยอดนิยมในสวิตเซอร์แลนด์
เส้นทางของ Golden Pass Line จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1.Luzern-Interlaken Express (Brunig) Luzern – Interlaken
2.Golden pass Line (BLS) Interlaken-Zweisimmen
3.Golden Pass Line(MOB) Zweisimmen – Montreux
โดยส่วนที่เราจะนั่งไปเที่ยวในวันนี้ จะเป็นส่วนของ Luzern-Interlaken Express นั่งจากสถานี Luzern ไปถึง Interlaken ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
รถไฟที่นี่ค่อนข้างตรงเวลามาก เวลาที่อยู่บนตารางนั้นหมายถึงเวลาที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ไม่ใช่เวลาที่มาถึง เพราะฉะนั้นควรเผื่อเวลาดีๆ สำหรับการโดยสารรถไฟ
บรรยากาศในรถไฟสะอาดและเป็นระเบียบมาก มีป้ายบอกสถานีที่จะมุ่งหน้าไปอย่างชัดเจน โดยรถไฟจะถูกแบ่งเป็น 1st กับ 2nd ประชาชนชั้น 2 อย่างเราก่อนจะขึ้นต้องดูที่หน้าตู้ดีๆ ว่าตู้ที่เราอยู่นั้นเป็นรถไฟชั้นอะไร ถ้าขึ้นผิด มีสิทธิ์อาจถูกปรับได้
ย่าน Unterseen
ย่าน Unterseen ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าตั้งอยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำที่ไหลผ่านกลางเมือง มีอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่และยังคงสภาพเดิม ย่านนี้ยามค่ำคืนจะเป็นย่านกินดื่มของนักท่องเที่ยว สามารถเดินมาเที่ยวย่านนี้ได้จากสถานี Interlaken West
นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์การท่องเที่ยว (Tourism Museum) ที่จะบอกพัฒนาการของการท่องเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เดินเล่นบนถนน Hoheweg
ถนน Hoheweg เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างสถานี Interlaken West และ สถานี Interlaken Ost ที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายล่อตาล่อใจขาช๊อปแบบเรา แต่ด้วยราคาแล้วก็นะ แพงไปนิด ก็ได้แต่เดินดูไป หรือใครอยากได้นาฬิกาที่นี่ก็มีร้านนาฬิกาหลากหลายแบรนด์ตั้งอยู่ ถ้าไม่อยากซื้อของก็เดินเล่นชมเมืองไปเพลินๆดี
การเดินทางไปสู่ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch)
การเดินทางไปสู่ยอดเขายุงเฟรา (Jungfraujoch) ซึ่งเป็น Top of Europe เราเริ่มต้นที่ Interlaken Ost ซึ่งเส้นทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาจุงเฟรา สามารถขึ้นได้สองทาง
1. Grindelwald
2. Lauterbrunnen
โดยทั้งสองที่จะไปรวมกันที่สถานี Kleine Scheidegg ก่อนที่จะขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา
ทริปนี้เราเลือกที่จะขึ้นไปทาง Grindelwald แล้วกลับลงมาทาง Lauterbrunnen เพื่อที่จะชมวิว 2 ข้างทางที่ต่างกัน
การเดินทางขึ้นยอดเขาจุงเฟรา เราต้องซื้อตั๋วต่างหาก Swiss pass ไม่สามารถใช้ได้ แต่ว่าสามารถใช้เป็นส่วนลดได้ 25 % เพื่อความสะดวกเราเลือกที่จะซื้อตั๋วขึ้นยอดเขาจุงเฟรา มาจากเมืองไทยเลย โดยผ่าน Europe Rail by RTS โดยเราจะได้รับเป็นกระดาษมา แล้วต้องนำมาแลกเป็น passport กับตั๋วขึ้นจุงเฟราที่ สถานี Interlaken Ost. หรือสถานีอื่นที่ระบุไว้ในกระดาษ
ก่อนจะขึ้นรถไฟ สังเกตป้ายข้างรถดีๆ เพราะขบวนที่เราไปจาก Interlaken Ost มีทั้งโบกี้ที่ไป Grindelwald และ Lauterbrunnen อยู่ด้วยกัน
จำไม่ได้ว่ามันไปปลดโบกี้แยกจากกันที่สถานีไหน เพื่อแยกกันไปคนละทาง แต่ถ้าดูจากแผนที่แล้ว น่าจะไปแยกที่สถานี Zwellutschinen เพื่อมุ่งหน้าสู่ Grindelwald และ Lauterbrunnen ตามป้ายที่ติดไว้ด้านข้างรถ
เอาจริงๆ ตอนที่รถไฟมีการตัดแยกขบวน เราแทบไม่รู้สึกเลย ภายในขบวนรถไฟ สะอาด นั่งสบาย
มาถึงแล้วสถานี Grindelwald (กรินเดลวาลด์)
ที่นี่เป็นเมืองที่อยู่บนภูเขาเหมือนถูกห้อมล้อมไปด้วยทิวเขาที่สวยงาม มีทุ่งหญ้า บ้านเรือนที่ปลูกเรียงรายอยู่ตามไหล่เขา
ที่ตั้งของตัวเมืองนั้นอยู่ริมเชิงเขาไอเกอร์ ถ้ามีเวลาก่อนที่จะขึ้นไปเยี่ยมชมจุงเฟรา ก็อาจจะมาแวะเดินเล่นที่นี่ก่อนได้ แต่เนื่องด้วยระยะเวลาที่จำกัดของทริปเราทำให้เราได้ชื่นชมเมืองนี้เพียงไม่นาน ก็ต้องนั่งรถไฟต่อจาก Grindelwald เพื่อไปที่สถานี Kleine Scheidegg (ไคเนไชเดก)ซึ่งเป็นสถานีรถไฟไต่ภูเขาที่จะพาเราไปยังยอดเขาจุงเฟรา นั้นเอง
ด้านในขบวนรถที่จะพาเราไปสู่สถานี Kleine Scheidegg (ไคเนไชเดก)
เราโชคดีที่รถไฟเที่ยวนี้มีผู้โดยสารคนพิเศษขึ้นมากับเราด้วย นั้นคือ เจ้าหมา เซนต์เบอร์นาร์ด (St. Bernard ) สุนัขตัวใหญ่ใจดี
ถิ่นกำเนิดของเจ้าเซนต์เบอร์นาร์ด นั้นคือ Switzerland โดยเป็นสุนัขที่มีไว้รักษาความปลอดภัยและคอยช่วยเหลือกู้ภัยชีวิต
ซึ่งทุกครั้งที่เจ้าเซนต์เบอร์นาร์ดจะออกไปช่วยเหลือคนนั้น ที่คอของมันจะมีถังไม้เล็กๆ ที่ด้านในจะบรรจุเหล้าองุ่นหรือยาสำหรับผู้ประสบภัยสามารถที่จะหยิบออกมาใช้ได้ จึงได้รับสมญานามว่าเป็น “หมานักบุญ(Saint)”
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.dogilike.com/breeds/10/
สุนัขพันธุ์นี้จึงถือได้ว่าเป็นสุนัขสายพันธุ์แท้ของ Switzerland และมีการประกาศให้เป็นสุนัขประจำชาติด้วย
เพราะฉะนั้นบนยอดเขาจุงเฟรา จะมีคนนำเอาเจ้าเซนต์เบอร์นาร์ดขึ้นไปให้เราได้ถ่ายรูปด้วย เหมือนเป็นอีกสัญลักษณ์นึงของที่นี่เลยทีเดียว
มาถึง Klein Scheidegg (ไคเนไชเดก) เราก็มาเปลี่ยนเป็นรถไฟสำหรับไต่เขาขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรากัน
แนะนำว่าถ้าจะมาเที่ยวจุงเฟราให้ออกมาเช้าหน่อย เพราะว่าใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จาก Interlaken กว่าจะถึงยอดเขา Jungfraujoch ไปถึงเร็ว ก็จะได้มีเวลาเดินเที่ยวบนยอดเขา Jungfraujoch นานๆ
รถไฟสีแดงสดใสจอดรอเราอยู่เพื่อนำเราไปยังยอดเขาจุงเฟราซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหลายๆคนฝันจะมาเยือนซักครั้ง เห็นหน้าตารถไฟแบบนี้อยากจะบอกว่าความสามารถในการไต่เขาสูงชันนี่อยู่ในระดับชั้นเซียนเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นล้อที่เป็นแบบฟันเฟือง ที่สามารถไต่เขาได้อย่างสบายๆ
อยากจะบอกว่า Switzerland เป็นประเทศที่สามารถสร้างรถไฟไต่เขาสูงชันได้อย่างยอดเยี่ยม อาจจะด้วยภูมิประเทศของที่นี่ถูกโอบล้อมไปด้วยเขาซะส่วนใหญ่ การปรับตัวให้เข้ากับเขาสูง จึงเป็นสิ่งที่คนประเทศนี้ค่อนข้างเชี่ยวชาญ เพราะสังเกตได้ว่าให้เขาสูงแค่ไหน Switzerland ก็มีรถไฟไปถึง
ภายในขบวนรถไฟที่จะพาเราไปยังยอดเขา Jungfraujoch ที่นี่ชอบใช้เบาะสีแดงสด เห็นหลายขบวนแล้ว
เมื่อรถไฟมุ่งออกจากสถานี Kleine Scheidegg รถไฟจะค่อยๆไต่ระดับความสูงชันขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี Eigergietscher ก็จะมุดเข้าสู่อุโมงค์รถไฟที่ถูกเจาะเป็นทางรถไฟที่ยาวถึง 7,122 เมตร วิวระหว่างทางสวยมาก จนลืมความเบื่อในการนั่งรถไฟไปเลย แต่หลังจากรถไฟมุดเข้าไปในอุโมงค์ก็มองไม่เห็นอะไรอีกเลย ดังนั้นควรดื่มด่ำกับวิวสองข้างทางอย่างเต็มที่ก่อนที่จะเข้าอุโมงค์
ผ่านหลายสถานี คือ หน้าผาไอเกอร์(Eigerwand) และ ไอส์เมียร์ (Eismeer) ซึ่งแต่ละสถานีนั้นจะปล่อยให้คนได้ลงไปถ่ายรูปแบบPanorama view ผ่านกระจก ประมาณ 5 นาทีต่อจุด ก่อนที่รถไฟจะมุดอุโมงค์ต่อไปเพื่อที่จะไปสิ้นสุดที่สถานี Jungfraujoch
สถานีหน้าผาไอเกอร์(Eigerwand)
วิวที่จุดชมวิวที่หน้าผาไอเกอร์ (Eigerwand) เป็นวิวแบบพาโนราม่า แต่คือแบบต้องรีบวิ่งลงมาจากรถไฟมาถ่ายหน่อยนะ เพราะว่าทุกคนจะวิ่งตรงมาที่นี่โดยพร้อมเพรียงกัน มาถึงก่อน รีบถ่ายรูปก่อน จะได้วิวสวยๆ โดยที่ไม่ติดคน
สถานีไอส์เมียร์ (Eismeer)
วิวแบบพาโนราม่าที่สถานีไอส์เมียร์ (Eismeer)
ในที่สุดเจ้ารถไฟคันแดงก็พาเรามาถึงสถานีรถไฟ Jungfraujoch ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ตั้งอยู่ภายในอุโมงค์ ในระดับความสูงที่ 3,453 เมตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่ายอดเขาจุงเฟรานั้นเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป จากคำที่หลายๆคนขนานนามที่นี่ว่า Top of Europe แต่จริงๆแล้ว คำนี้มันหมายถึงสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
ตัวยอดเขาจุงเฟราเองนั้นสูงเพียง 4,158 เมตร ซึ่งไม่ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับยอดเขา Matterhorn ซึ่งสูง 4,477 เมตร หรือยอดเขาอื่นๆในแถบเทือกเขาแอลป์
ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน เราจะเจอรูปปั้นของ Adolf Guyer-Zeller(อดอล์ฟ กอเยอร์-เซลเลอร์ ) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการสร้างทางรถไฟจุงเฟรา ในราวศตวรรษที่ 1870 ไม่มีคนเห็นด้วยกับการสร้างทางรถไฟสายนี้เท่าไรนัก โดยเฉพาะชาวบ้านในแถบนี้ที่ออกมาคัดค้าน เพราะกลัวว่าการสร้างทางรถไฟสายนี้จะไปรบกวนธรรมชาติ อีกทั้งยังต้องใช้งบประมาณในการสร้างอย่างมหาศาล อีกทั้งเทคโนโลยีในตอนนั้นยังไม่ได้ทันสมัย ช่วยทุนแรงได้อย่างในปัจจุบัน
แต่ Adolf Guyer-Zeller เองก็ไม่หยุดความฝันที่จะสร้างทางรถไฟสายนี้ จนในที่สุดในปี ค.ศ.1896 จึงได้มีการเริ่มสร้างทางรถไฟสายนี้ขึ้นมา และเสร็จสมบูรณ์ในเกือบ 20 ปีต่อมา ถือได้ว่าเค้าเป็นคนที่ทำให้การท่องเที่ยวของยอดเขาจุงเฟรานั้นสามารถให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย และสามารถที่่จะเอาชนะธรรมชาติโดยการสร้างทางรถไฟผ่านเทือกเขาที่สูงชันและแทบจะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีได้สำเร็จ
จากสถานีเดินเข้ามาจะเป็น main building ซึ่งลักษณะเหมือนเป็นถ้ำใต้ภูเขา ด้านในจะมีร้านขายอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และจุดที่สามารถให้เราแสตมป์ Jungfrau Passport เล่มแดงๆที่เราได้รับมาตอนที่ไปแลกตั๋วรถไฟ เหมือนวีซ่าแสตมป์ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเรามาถึงยอดเขาจุงเฟราแล้ว
จากนั้นจะมีจุดให้เราเดินเที่ยวชมโดยไล่ไปเรียงลำดับตามภาพ
ทางเดินด้านในอาคาร มีลักษณะเหมือนเป็นถ้ำใต้ภูเขา ถ้าใครไปหน้าหนาว outdoor activity เค้าปิดให้บริการนะจ๊ะ อดเล่นเลย
Sphinx Observation Terrace
เริ่มต้นที่แรกที่น่าสนใจคือ Sphinx Observation Terrace เดินตามป้ายมาไม่มีทางหลง และขึ้นลิฟท์ เพื่อมาชมทัศนียภาพที่งดงามของเทือกเขานี้
ที่เรียกที่นี้ว่า Sphinx Observation Terrace หรือ หอสังเกตการณ์สฟริงซ์ อาจจะเป็นการตั้งชื่อตามลักษณะของอาคารที่เหมือนกับรูปปั้นสฟิงซ์ที่อียิปป์ที่ตั้งอยู่บนโขดหิน
เราสามารถที่จะวิวบนดาดฟ้าได้รอบทิศที่ระดับความสูง 3,571 เมตร ซึ่งเราจะได้เห็นความอลังการของเทือกเขานี้ที่อยู่รอบๆตัว
ธารน้ำแข็งที่เป็นธรรมชาติบนยอดเขาจุงเฟรา บอกได้คำเดียวว่ารูปที่เห็นนั้นยังไม่สามารถถ่ายทอดความงามของที่นี่ออกมาได้หมดจริงๆ เพราะของจริงมันสวยกว่านี้มาก
Alpine Sensation
เดินต่อมาจะเจอ Alpine Sensation จะทำให้เราเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย เนื่องจากเพดานโค้งที่ประดับไปด้วยไฟรูปดอกไม้สีเหลืองสบายตา มีมุมให้เราสามารถแวะไปถ่ายรูปเล่นได้หลายมุม
เมื่อเดินเข้าไปในส่วนของห้องโถงเราจะพบกับลูกแก้วขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่ในห้อง ลูกแก้วลูกนี้มีชื่อว่า Little Dreams of Switzerland เมื่อมองเข้าไปในลูกแก้วจะเป็นเหมือนเมืองจำลองขนาดเล็ก ที่เค้าได้จำลองความเป็น Switzerland ลงมาในลูกแก้วลูกยักษ์นี้
ระหว่างทางเดินจะมีภาพวาดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการสร้างรถไฟสายนี้ ทางรถไฟที่ในอดีตไม่มีคนเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ ที่จะสร้างรถไฟไต่เขาที่สูงชันขนาดนี้ขึ้นมา แต่ อดอล์ฟ กอเยอร์-เซลเลอร์ (Adolf Guyer-Zeller) ก็สามารถทำให้ความฝันที่เป็นไปไม่ได้ในตอนนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้
เมื่อลองค้นหาประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายนี้มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ในสมัยศตวรรษที่ 19 การสร้างทางรถไฟไปถึงยอดเขาต่างสามารถทำได้ง่าย แต่สำหรับ กอเยอร์-เซลเลอร์ ผู้ที่มีความคิดและไอเดียบรรเจิด คิดว่าเค้าสามารถที่จะทำได้ไกลและสูงกว่านั้น จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นโครงการรถไฟมาถึงยอดเขาจุงเฟรา
รถไฟที่มุ่งสู่ยอดเขาจุงเฟรานั้นไม่ต้องวิ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เลวร้าย และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เพราะฉะนั้นการสร้างอุโมงค์ให้รถไฟวิ่งจึงเป็นทางแก้ไขปัญหานี้ได้ดีที่สุด แล้วยังมีสถานีที่เราสามารถที่จะหยุดแวะพัก และชมความงามของเทือกเขานี้ก่อนที่จะไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขาได้
ถ้าดูจากรูปแล้วการขุดเจาะอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟ ไม่ได้มีเครื่องจักรที่ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้ แรงงานคนจึงเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างทางรถไฟสายประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา การสร้างทางรถไฟไม่ได้ราบรื่น ต้องใช้เวลาถึง 16 ปีกว่าสถานีรถไฟนี้จะสำเร็จ และมีคนงานหลายคนที่ต้องอุทิศชีวิตให้กับการสร้างทางรถไฟสายนี้ ระหว่างทางจะมีการติดชื่อเป็นเป็นเกียรติให้กับคนงานที่ต้องอุทิศตัวเพื่อให้การสร้างทางรถไฟนี้สำเร็จ และสามารถเปิดบริการได้เป็นครั้งแรกในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2455 (วันชาติของสวิตเซอร์แลนด์)
Ice Palace หรือวังน้ำแข็ง
Ice Palace หรือวังน้ำแข็ง เป็นสถานที่ที่จัดแสดงประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็ง โดยถ้ำน้ำแข็งที่เจาะลึกไปในธารน้ำแข็งกว่า 30 เมตร มีขนาดใหญ่ถึง 1,000 ตารางเมตร บรรยากาศในนี้หนาวจับใจ แต่คงน้อยกว่าด้านนอก
แต่ขอบอกเลยว่าด้านในนี้ลื่นมากจาก ไอโฟนน้อยของเราได้เปิดประเดิมการตกครั้งแรกในวังน้ำแข็งเนี่ยแหละ ซื้อมาตั้งนานไม่ตก มาเลือกที่ตกได้ดีจริงๆ ตกบนน้ำแข็งแล้วสไลด์ไปไกลอีกหลายเมตร ตอนนั้นบอกเลย น้ำตาจิไหล
สำหรับผู้ที่อยากมาเยือนวังน้ำแข็งแห่งนี้ ให้แน่ใจว่ารองเท้าคุณกันลื่นพอ อย่ามัวแต่เพลินกับการถ่ายรูปแบบเรา เพราะเวลาลื่นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก T_T
มีความฟรุ้งฟริ้งเบาๆ ด้วยการตกแต่งน้ำแข็งเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
Plateau
Plateau เป็นลานโล่งๆ ด้านนอกอาคารที่เปิดให้เราสามารถไปถ่ายรูปได้
ก่อนจะออกไปตรงลานนี้แนะนำให้ห่อหุ้มร่างกายให้พร้อมรับกับอุณหภูมิติดลบ และลมที่พัดมารอบทิศทาง บอกได้เลยว่าหูชา หน้าชา ไอโฟนสิ้นชีพปิดตัวเองลง เพราะว่าทนอากาศหนาวไม่ไหว
แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วต้องไม่พลาดที่จะออกมาสัมผัสจุดนี้ เพื่อที่จะไปบอกใครๆ ว่า เราได้มาสัมผัส Top of Europe แล้วนะ
Lindt Swiss Chocolate Heaven
“Lindt สุดยอดช็อคโกแลตของสวิสเซอร์แลนด์”
ก่อนที่จะจากลายอดเขาจุงเฟรา Top of Europeไป มาเสิร์ฟความหวานด้วย ห้องจัดแสดงการทำช็อคโกแลตของลินด์ท มาให้ชม ในห้องนี้ได้จำลองครัวขนาดย่อมๆ ที่โชว์การทำช็อคโกแลตของลินด์ท แถมยังมีภาพเสมือนจริงที่เหมือนมีพ่อครัวมาทำช็อคโกแลตให้เราชมอยู่ตรงหน้า
ก่อนออกจากห้องนี้จะมีร้าน Lindt Swiss Chocolate Heaven ขายของฝากของที่ระลึกของLindt ให้เราได้เสียเงินก่อนกลับบ้าน
ในถ้วยที่เค้าถือจะมีช็อคโกแลตไว้ให้เราได้ชิมด้วยนะ
อย่าลืมส่ง Post Card !!!
ที่นี่เค้ามีตู้ไปรษณีย์ไว้คอยให้บริการหน้าประตูก่อนกลับเลย เราสามารถซื้อ Post card พร้อมแสตมป์ได้ที่ร้านขายของที่ระลึกข้างๆ ตู้ไปรษณีย์ได้เลย
ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อแสตมป์ไม่ถูก แค่บอกประเทศปลายทางที่จะส่งคนขายเค้าจะจัดแสตมป์มาให้เอง แค่นี้เราก็จะได้ Post card ที่มีตราประทับ Top of Europe มาส่งถึงบ้าน หรือจะส่งให้เพื่อนหรือคนที่คุณรักก็ได้
นั่งรถไฟขากลับมีแถมช็อคโกแลต Lindt ที่มีสัญลักษณ์จุงเฟรา แสดงคำขอบคุณให้กับผู้โดยสารทุกคนได้ทานกัน รสชาติความอร่อยไม่ต้องพูดถึงเพราะการันตีด้วยตรายี่ห้อ Lindt
ขากลับจากยอดเขาจุงเฟรา เราเปลี่ยนเส้นทางชมวิวมาลงทาง Lauterbrunnen โดยไปเปลี่ยนเส้นทางที่ Klein Scheidegg (ไคเนไชเดก)
รถไฟจะมีเกือบทุกชั่วโมง และไม่ต้องกลัวหลง เพราะจะมีป้ายบอกทางชัดเจนว่าซ้ายไป Lauterbrunnen ขวาไป Grindelwald
ขึ้นรถไฟแล้วก็ได้เวลาชมวิว!!! ใครจะมาหลับนี่ไม่ได้นะ ถือว่าพลาด ชมวิวค่ะชมวิว มันเพลินมาก ทำให้การนั่งรถไฟไม่น่าเบื่อเลย
เอารูปแบบน้ำจิ้มๆ มาให้ดู
Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน)
นั่งรถไฟจากสถานี Klein Scheidegg (ไคเนไชเดก) มาประมาณ 50 นาที รถไฟก็จะไต่เขาลงมาเรื่อยๆ จนถึงสถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ นั้นก็คือ สถานี Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน)
จุดเด่นของเมืองนี้ คือเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกับภูเขา เป็นเมืองเงียบๆที่น่ารักและไม่วุ่นวายเมืองนึง
มองจากเมือง Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน) กลับไปยังเทือกเขาที่เรานั่งรถไฟมา จะเห็นรางรถไฟทอดเป็นแนวยาวสวยงามลงมากจากภูเขา ท่ามกลางบ้านเรือนที่สร้างอยู่ติดทางรถไฟ
วันที่เราไปไม่รู้ว่าเป็นวันหยุดหรือเปล่า แทบจะไม่มีคนเดินให้เห็นในเมืองเลย ร้านค้าเปิดน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เป็นหน้าหนาว คนเลยไม่ค่อยออกมากัน บรรยากาศในเมืองเลยไม่ค่อยคึกคักมากนัก ทำให้เราเดินชมเมืองนี้แบบส่วนตัวมากๆๆ
ถ้าลองมองดูตรงกลางภาพจะเห็นทางรถไฟที่ทอดยาว ลงมาจากภูเขา ต้องยกความสามารถให้คนที่นี่จริงๆ
น้ำตก Staubbach (ซเตาบ์บาค)
ก่อนจะมาที่เมือง Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน) อ่านจาก Internet มาเยอะเลย ว่าเมืองนี้นะ มีน้ำตกอยู่กลางเมืองเลย น้ำตกนี้มีชื่อว่าน้ำตก Staubbach (ซเตาบ์บาค) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สูงสุดในยุโรป มีความสูงประมาณ 300 เมตร
คำบรรยายน้ำตกนี้ที่อ่านมาบอกว่าน้ำตกแห่งนี้ มีลักษณะเหมือนสายน้ำที่หล่นมาจากยอดเขา ตกกระแทกหน้าผาสูง แตกกระจายออกเป็นละอองน้ำ เมื่อถูกกระแสลมพัดจะกระเซ็นไปทั่วกลายเป็นม่านน้ำ ……..
แต่เดี๋ยวก่อน?!?!?
สิ่งที่จินตนาการไว้กับสิ่งที่เห็นมันต่างกันยิ่งนัก
ลืมคำบรรยายด้านบนไปซะ!!!
ในรูปนี้เป็นความจริงที่เราเห็น ด้วยอากาศที่หนาวมาก น้ำที่ตกลงมาก็มีน้อย ต้องเข้าไปใกล้ๆถึงจะเห็นว่ามีสายน้ำเพียงแผ่วเบาไหลลงมาจากหน้าผา ใครยังไม่เห็นสายน้ำที่แผ่วเบานี้โปรดซูมค่ะ ซูมเข้าไปใกล้ๆ จะได้เห็นชัดๆ แต่น้ำที่ตกลงมานั้นไม่ได้เป็นม่านน้ำตามที่ได้อ่านมาแต่อย่างใด พอมันตกลงกระทบหินปุ๊บ เหมือนมันจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งไปเลย
สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ชมความงามของน้ำตกแห่งนี้ ไว้คราวหน้าเราจะมาชมเธอใหม่นะ เจ้าน้ำตก Staubbach (ซเตาบ์บาค)
ยอดเขา Schilthorn (ชิลธอร์น)
จริงๆแล้วจากเมือง Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน) เราสามารถที่จะนั่งกระเช้า แล้วไปต่อรถไฟแบบฟันเฟือง เพื่อไต่ขึ้นสู่ยอดเขา Schilthorn (ชิลธอร์น) ซึ่งเป็นยอดเขาที่รู้จัก เพราะว่าเป็นฉากนึงในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Jame bond 007 ตอน On Her Majesty’s Secret Service ลองไป search ดูรูปว่าตอนนี้คือตอนไหน ไม่คุ้นเลย เห็นรูปถึงก็กับร้อง”อ๋อ” มิน่าไม่รู้จัก เพราะเรื่องนี้ตั้งแต่ปี คศ 1969 ยังไม่เกิดเลย (ขอบคุณรูปสวยๆของโปสเตอร์จาก http://scottalanmendelson.blogspot.com/)
ความพิเศษของยอดเขานี้คงเป็นเพราะว่าสามารถที่จะมองเห็นยอดเขา 3 เกลอตั้งเรียกกันอยู่จากยอดเขานี้ได้ ยอดเขาสามเกลอนั้นประกอบไปด้วย
>> ยอดเขาไอเกอร์ (Eiger)
>> ยอดเขาเมินซ์(Monch)
>> ยอดเขาจุงเฟรา(JungFraujoch)
ด้วยความที่เวลาในทริปนี้เรามีอย่างจำกัด ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสได้มาเยือนยอดเขา Schilthorn (ชิลธอร์น) ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวที่ Switzerland อีกครั้ง คงจะต้องเผื่อเวลามาเที่ยวที่ยอดเขานี้อย่างแน่นอน
ปล. รูปยอดเขาไม่ใช่รูปยอดเขา Schilthorn (ชิลธอร์น) เป็นวิวหนึ่งของเมือง Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน) นำมาให้ชมประกอบเพื่ออรรถรสในการบรรยายเท่านั้น
—————————————————————————————
สามารถติดตามพูดคุยกับเราได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้
Facebook : https://www.facebook.com/TravellingAsACouple
Website : https://travelling-as-a-couple.com/
Instagram : Travelling As A Couple