Zermatt !! ที่นี่มีอะไรดี ??  อมยิ้ม19 อมยิ้ม19

03

 

Zermatt (เซอร์แมท)

ถ้าพูดว่า Zermatt (เซอร์แมท) หลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าที่นี่มีอะไรดี แต่ถ้าพูดถึงช็อคโกแลตยี่ห้อ Toblerone หรือบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์อย่าง Paramount คงจะต้องร้อง อ๋อ เพราะว่าสัญลักษณ์ที่อยู่บนกล่องช็อคโกแลต หรือสัญลักษณ์ของ Paramount นั้นคือภูเขา Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) ซึ่งเป็นภูเขาที่มีรูปร่างสวยงาม ที่ตั้งอยู่ที่เมืองแห่งนี้

Zermatt (เซอร์แมท) เป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา เป็นส่วนหนึ่งของพันธรัฐ Valais เมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) ซึ่งเป็นยอดเขาที่มีความสูงถึง 4,478 เมตร เป็นที่หมายปองของนักปีนเขาและนักเล่นสกีที่จะมาเยือนที่นี่

ที่สำคัญเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่ปราศจากมลพิษโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเป็นเมืองที่ห้ามนำเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเข้าไปในตัวเมืองเด็ดขาด

04

จากสถานี Interlaken West เรานั่งรถไฟมายังสถานี Visp ซึ่งเป็นสถานีชุมทางของรถไฟหลายๆสาย รวมถึงขบวนที่จะไป Zermatt ด้วย

01

รถไฟสายนี้มีชื่อว่า Matterhorn Gotthard Bahn ซึ่งรถไฟสายนี้จะค่อยๆไต่เขาสูงขึ้นไปเป็นระยะ ผ่านหลายสถานี ไม่ว่าจะเป็น
1. Stalden-Sass, Kalpetran
2. St. Niklaus
3. Herbriggen
4. Randa
5. Täsch
และสุดท้าย ก็จะมาจอดที่สถานีปลายทาง Zermatt

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วกว่าๆ ก็มาถึง

02

ด้วยความที่เมืองนี้เป็นเมืองที่ปราศจากมลพิษ เพราะว่าไม่ให้นำเครื่องยนต์ทีใช้น้ำมันเข้าไป เพราะฉะนั้นพาหนะทีใช้ภายในเมืองนี้จึงเป็นพาหนะเป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

05

โรงแรมส่วนใหญ่ภายในเมืองนั้นจะมีรถไฟฟ้า (Electric Shuttle) ไว้ค่อยรับส่งนักท่องเที่ยวจากสถานีรถไฟมาถึงโรงแรมที่พัก แต่ด้วยความที่เราพักโรงแรมที่ไม่ใหญ่มาก ก็เดินสิครับรออะไร เดินด้วยสองขาตัวเองเนี่ยแหละ ดีนะว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก การเดินจึงไม่เป็นปัญหาอะไร ดีซะอีก ได้เดินเล่นชมเมืองไปในตัว

แต่จริงๆ แล้วที่นี่ก็มีรถสาธารณะอื่นๆไว้คอยให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ หรือรถเมลล์สาธารณะไฟฟ้า (Electro buses) คอยให้บริการ แต่ระยะห่างต่อเที่ยวนึงก็ใช้ได้เลยทีเดียว เดินน่าจะเร็วกว่ารอรถสาธารณะแบบนี้

06

Bahnhofstrasse

ถนนที่ทอดยาวจากหน้าสถานีนั้น เป็นถนนสายหลักที่ชื่อ Bahnhofstrasse เอาจริงๆ คือถนนหลักของทุกเมืองจะใช้ชื่อเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเมืองไหน ตั้งแต่ไป Zurich Luzern มา ก็ชื่อนี้

ถนนสายนี้ไม่ได้ใหญ่โต หรือกว้างขวางเหมือน Bahnhofstrasse ในเมืองอื่นๆ แต่ที่แตกต่างคือถนนเส้นนี้ไม่อนุญาตให้รถวิ่ง ยกเว้นรถกวาดหิมะ ที่เห็นวิ่งอยู่ แต่ก็เป็นรถแบบปลอดมลพิษ วิ่งมาข้างหลังนี่แทบไม่รู้สึกตัว

สองข้างทางของถนนเส้นนี้มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ตั้งเรียงรายอยู่ ร้านแมคโดนัลด์ก็มีให้บริการ

และที่ขาดไม่ได้เลย คือร้านขายนาฬิกา ให้เมืองเล็กแค่ไหนก็ต้องมี เป็นสิ่งที่คู่กับ Switzerland จิงๆ

07

อาคารบ้านเรือนที่ Zermatt (เซอร์มัตต์)

จะเป็นแนวแบบสวิสชาเล่ต์สไตล์วาเลส์ พูดภาษาง่ายๆ คือจะออกแนวปราสาทๆหน่อย บ้านหรือโรงแรมทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่ค่อยเห็นตึกคอนกรีตที่เป็นเหลี่ยมๆทั้งแท่งให้เห็นเลย

บ้านเรือนหรือตึกที่นี่จะไม่ค่อยสร้างสูงมาก อาจจะเป็นเพราะภูมิประเทศนั้นอยู่บริเวณเนินขึ้นเขาอยู่แล้ว บ้านที่สร้างจึงปลูกลดหลั่นกันไปตามแนวเขา

08

09

10

Free Air Condition and Refrigerator at Switzerland

ไปถึงสวิส 2 สิ่งที่ไม่ต้องถามหาคือ เครื่องปรับอากาศ และ ตู้เย็น เพราะโรงแรมเกือบจะทุกที่ไม่มี ด้วยสภาพอากาศที่หนาวตลอดทั้งปี ทั้งสองสิ่งที่กล่าวมาจึงแทบจะไม่มีความจำเป็น

ถ้าเราอยากรู้สึกเหมือนเปิดเครื่องปรับอากาศ เพียงแค่แง้มหน้าต่างเพียงนิดๆ ลมก็จะพัดเข้ามาในห้องราวกับเปิดเครื่องเปิดเครื่องปรับอากาศ เพียงแต่เราควบคุมอุณหภูมิในห้องไม่ได้แค่นั้นเอง วิธีควบคุมขึ้นอยู่กับความกว้างในการเปิดหน้าต่าง

ส่วนตู้เย็น วิธีการแช่สิ่งของให้เย็นง่ายๆ คือจับมันวางไว้นอกหน้าต่าง บางเมืองอย่าง Zermatt อุณหภูมิตอนกลางคืนบางที พุ่งไปถึงติดลบ เย็นเจี๊ยบเสมือนแช่ตู้เย็น ลองมาแล้วกับตัวเอง แช่โยเกิร์ตไว้นอกหน้าต่าง เช้าตื่นมา นี่กินเย็นกว่าตอนเอามาจากตู้แช่ที่ซุปเปอร์อีก

11

 

แม่น้ำ Matter Vispa

12

ระหว่างทางเดินไป Matterhorn Glacier Paradise นั้นเราผ่านแม่น้ำ หรืออาจจะเรียกว่าลำธารน่าจะเหมาะกว่า

แม่น้ำมีชื่อว่า Matter Vispa ซึ่งจะไหลไปบรรจบกับ Saaser Vispa จากหุบเขาซาส เป็นแม่น้ำ Vispa ที่จะไหลไปลงแม่น้ำโรน

ต้นน้ำของ Matter Vispa นั้นเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา กลายมาเป็นธารน้ำไหลเย็น

Matterhorn Glacier Paradise

สถานีของรถเคเบิ้ลที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป บนยอดเขา Klien Matterhorn ที่ระดับความสูง 3,883 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

16

ที่นี่เป็นที่ชื่นชอบของนักสกี สโนว์บอร์ด ตอนที่ขึ้นไปนี่เหมือนชนกลุ่มน้อยมากๆ เพราะว่าทุกคนที่ขึ้นรถเคเบิ้ลล้วนแต่หอบสกีเพื่อขึ้นไปเล่น แต่เราขึ้นไปเพื่อไปดูความสวยงามของยอดเขา Matterhorn

13

14

ค่าขึ้นรถเคเบิ้ลคนละ 50 ยูโร แต่ถึอได้ว่าคุ้มค่ามากๆ กับระยะทาง และการก่อสร้างที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่ได้ขึ้น

15

ยิ่งรถเคเบิ้ลขึ้นไปสูงมากเท่าไร มองกลับลงมาจะเห็นรถเคเบิ้ลไปเป็นสายยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นอีกครั้งที่ทำให้เราทึ่งในความสามารถด้านการคมนาคมของคนสวิส ที่สามารถสร้างการคมนาคมผ่านภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยได้ดีขนาดนี้

17

บางจุดที่เคเบิ้ลผ่านเหมือนเราอยู่ใกล้กับยอดสนมาก ให้ความรู้สึกเหมือนได้ปีนอยู่บนยอดสนเลยทีเดียว

21

ด้วยความหนาวของอากาศด้านนอกทำให้กระจกของเคเบิ้ลเป็นฝ้า ไม่ค่อยใส เวลาถ่ายรูปเลยไม่สวยเท่าที่ควร แทบจะต้องเอากล้องเข้าไปชิดกับกระจกไม่ก็ส่องผ่านชองเล็กๆ ออกมา เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม

18

20

แอบเสียวกลัวว่ากล้องจะตกลงไปเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็รอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย

19

 สถานี Trockenner Steg

นั่งรถเคเบิ้ลเล็กมาได้ซักพัก ก็จะมาสุดทางที่สถานี Trockenner Steg ที่สถานีนี้เราต้องลง เพื่อเดินไปขึ้นรถเคเบิ้ลคันใหญ่ ที่จุกคนได้ประมาณ 20-30 คน

23

ที่นี่เป็นสถานีต่อที่ใหญ่ มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ห้องน้ำไว้คอยให้บริการ ก่อนที่เราจะต่อไปยังสถานีที่สูงที่สุดของรถเคเบิ้ลสายนี้

22

ช่วงระหว่างที่รอขึ้นรถเคเบิ้ลใหญ่นั้นผู้คนรอบข้างมาด้วยชุดสกีเต็มยศ ใส่แว่น สวมหมวก แบกสกีกันเต็มที บางคนมีการวอร์มร่างกายด้วยการค้างอยู่ด้วยท่าเล่นสกีเป็นเวลานาน นิ่งจนเรานี่อยากจะเดินไปแตะว่าเป็นคนหรือเป็นหุ่น เพราะว่าไม่ขยับร่างกายเลย ส่วนเรานี่เหมือนตัวประหลาด ไม่มีอุปกรณ์สำหรับสกีซักชิ้น มีแต่กล้องถ่ายรูปแค่นั้นเอง

ที่นี่อากาศหนาวมาก หนาวจนขั้นไหนน่ะเหรอ หนาวจนรู้สึกเหมือนว่าไม่มีนิ้วเท้าอีกต่อไป ชาไปหมด ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราใส่เสื้อผ้ามาทั้งหมด 5 ชั้น ถุงเท้า 3 ชั้น ยังไม่พอประทังความหนาว เหลือบไปมองดูอุณหภูมิ โอ้แม่เจ้าไม่หนาวได้ไง อากาศพุ่งไปติดลบ 20 ความหนาวขนาดนี้ช่องแช่แข็งที่บ้านยังสู้ไม่ได้เลย ยืนปากสั่น รอกระเช้านานมาก กว่ากระเช้าจะมา

** ในรูปนี่คือแต่งตัวมาหลายชั้นมาก แต่ว่ายังไม่พอกับอากาศที่หนาวถึงขั้นติดลบ

24

ถึงแล้ววว Matterhorn Glacier Paradise

สถานีรถเคเบิ้ลที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป จุดสูงสุดนี้อยู่บนยอดเขา Klein Matterhorn ที่ระดับความสูง 3,883 เมตร

25

 

มาถึงสถานีนี้ตอนแรกก็งงๆ ทำไมมีธงอิตาลีด้วย นี่ฉันอยู่สวิสเซอร์แลนด์นะ สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า ยอดเขา Klein Matterhorn นั้นเป็นสันเขาระหว่าง Breithorn และ Matterhorn จากจุดนี้เราสามารถที่จะนั่งรถเคเบิ้ลไปอิตาลีได้ มาที่เดียวเกือบจะเที่ยวได้ 2 ประเทศเลยนะเนี่ย

Matterhorn Glacier Paradise เราสามารถสามารถชมความงามของเทือกเขาแอลป์ที่อยู่ระหว่างสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ได้ แต่อากาศเจ้ากรรมดันไม่เป็นใจ เมฆมากมายได้มารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำให้เราไม่ได้เห็นภาพเทือกเขาแอลป์ที่งดงามอย่างที่ควรจะเป็น

*** ก่อนจะขึ้นมาแนะนำว่าให้เช็คสภาพอากาศก่อนนะ จะได้ไม่ผิดหวังแบบเรา แต่ว่าเราไม่มีทางเลือกเนื่องจากเวลาที่มีจำกัด เลยต้องลองเสี่ยงดู

28

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็น ความงามของเทือกเขา Matterhorn จากที่นี่ ก็ไม่ได้เป็นไร ถือซะว่าได้มาสัมผัสอากาศติดลบเล่นๆ ล่ะกัน จะได้มีประสบการณ์ไปบอกลูกหลานว่าหนาวแบบติดลบมันเป็นยังไง คิดบวกจะได้เที่ยวแบบมีความสุข แค่นั่งรถเคเบิ้ลมาก็สนุกและคุ้มค่าแล้ว

26

27

The Dogs in Zermatt 

น้องหมา ณ หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต

อีกเรื่องนึงที่ชอบมากเลย อาจจะไม่เกี่ยวกับที่เที่ยวเท่าไร แต่เป็นความชอบส่วนตัว อิอิ

คือคนที่นี่เวลาที่เค้าเลี้ยงหมาแล้ว เค้าจะดูแลเอาใจใส่น้องหมา และฝึกฝนให้มันเป็นมีระเบียบ ตั้งแต่มาถึงที่สวิสเซอร์แลนด์ ยังไม่เคยได้เห็นขี้หมามาเกลื่อนกลาดอยู่บนถนนเลย เจ้าของสุนัขจะรับผิดชอบสิ่งทีน้องหมาปล่อยออกมา

ตัวอย่างเช่นน้องหมาตัวนี้ ที่นั่งรอเจ้าของอยู่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต แบบไม่ขยับไปไหน เพราะว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตเค้าไม่ให้เอาน้องหมาเข้าไป

ที่เห็นนั่งอยู่นี่ไม่ได้ผูกเชือกเลย นางนั่งชะเง้อคอมองหาว่าเมื่อไรเจ้าของจะออกมา ขนาดว่าเจ้าของเดินออกมานางยังไม่ลุก หรือวิ่งไปหาเลย ต้องรอให้เจ้าของสั่งก่อน ถึงจะขยับ สุดยอดน้องหมาจริงๆ

29

Brown Cow Pub & Snack Bar

ร้านอาหารกึ่งผับน่ารักๆ กลาง Zermatt บนถนน Bahnhofstrasse ถนนสายหลักของเมืองนี้

30

บรรยากาศของร้านนี้ตกแต่งดูอบอุ่น มีชีวิตชีวา ตอนอยู่หน้าร้านก็ไม่คิดว่าจะมีคนเยอะ พอเดินเข้าไป โอ้โห้มิน่าคนในเมืองไปไหนกันหมด มารวมอยู่ที่ร้านนี้นั้นเอง หลายๆโต๊ะ ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว อยู่ต่างประเทศต้องทำใจกับการนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นที่เราไม่รู้จัก คือถ้ามีที่ว่างตรงไหน เค้าก็จะจัดให้นั่ง ไม่ได้สนว่าคนที่ร่วมโต๊ะกันนั้นจะรู้จักกันไหม

31

อาหารมีทั้งแฮมเบอร์เกอร์ชนิดต่างๆ ไก่ทอด ส่วนมากแล้วจะเป็นอาหารง่ายๆ เราเลือกที่จะกินแฮมเบอร์เกอร์ที่มีชื่อ Zermatt Burger เพราะว่าชื่อมันดูเป็นอาหารเฉพาะของที่นี่ เสิร์ฟมาพร้อมกับ เฟรนฟรายและสลัด รสชาติอร่อยเลยทีเดียว แป้งเบอร์เกอร์นุ่ม เนื้อด้านในก็ชุ่มฉ่ำ คือกัดพร้อมขนมปังนี่ ฟินไปเลย

ราคาอาหารไม่แพ่งมาก ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆในละแวกนั้น

33

มีเบียร์ให้เลือกลองหลากหลาย เริ่มจาก

Grimbergen เบียร์สัญชาติเบลเยี่ยม รสชาติสไตล์ Hoegaarden

32

Schneider Weisse เบียร์สัญชาติเยอรมัน เป็น Wheat Beer ดื่มง่าย

39
Cardinal เบียร์เจ้าถิ่นของสวิสเซอร์แลนด์

34

 

Guinness ไอริชเบียร์ ขึ้นชื่อว่าเป็น สุดยอดของเบียร์ดำ

35
Magners ไอริชเบียร์ ตัวนี้จะเบาๆ เหมาะสำหรับคุณผู้หญิง

36
Zermatt Beer เบียร์ท้องถิ่นของแท้

37

Beck’s เบียร์สัญชาติเยอรมัน นุ่มละมุนลิ้น

38

ลองหมดนี่แทบจะเดินเซกลับโรงแรมกันเลยทีเดียว

 

Gornergrat – the Matterhorn railway

43

รถไฟที่จะพาเราไปชมยอดเขา Matterhorn อีกทางหนึ่ง

41

ก่อนหน้านี้เราขึ้นไปทาง Matterhorn Glacier Paradise ที่เป็นเคเบิ้ลคาร์ไปแล้ว แต่หุบเขาขี้อายอย่าง Mr. Matterhorn ก็ไม่โผล่มาให้เราเห็น คราวนี้หวังว่าจะไม่ทำให้เราผิดหวังใช่ไหม Mr.Matterhorn

สถานี Gornergrat นั้นหาไม่ยาก อยุ่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Zermatt เลย
ค่าโดยสารคนละ 43 ยูโร (ราคานี้ใช้บัตร Swiss pass ลดราคาแล้ว)
ตั๋วโดยสารจะเป็นตั๋วแบบอิเล็คทรอนิค เช่นเดียวกันกับ Matterhorn Glacier Paradise

42

ตารางรถไฟไปกลับ สามารถเช็คเวลาได้

40

นั่งรอซักพักรถไฟสีส้มสดใสก็เข้ามาจอดเทียบท่าที่สถานี ด้านข้างรถไฟเขียนไว้ว่า Gornergrat bahn the matterhorn railway ไม่ผิดแล้วคันนี้แหละที่จะพาเราไปเที่ยว

44

ขบวนรถไฟนี้ จะวิ่งบนรางฟันเฟือง สำหรับไต่เขา แวะจอดที่สถานี Findelbach 1774 ม, Riffelalp 2211 ม , Riffelberg 2582 ม, Rotenboden 2582 ม และถึงสถานีที่สูงสุด และเป็นสถานีสุดท้ายของทางรถไฟสายนี้คือ Gornergrat ที่ระดับความสูง 3,089 ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีกว่าๆ

46

ภายในรถไฟ สะอาดน่านั่ง ยังไม่เคยเห็นรถไฟในสวิตเซอร์แลนด์สายไหน ที่ดูเก่าและไม่น่านั่งเลย

45

 

On the way to Gornergrat

47

การเดินทางสู่ Gornergrat นั้นตลอดเส้นทางไม่มีอุโมงค์ยาวๆ มาบดบังทัศนียภาพเหมือนตอนไปชมยอดเขา Jungfrau

เมื่อรถเริ่มออกเดินทางรถไฟจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อมองกลับลงมาจะเห็นวิวเมือง Zermatt ในมุมสูงที่ค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก แต่เมฆเจ้ากรรมดันเยอะเสียเหลือเกิน แดดก็ออก แต่เมฆนี่เพียบเลย

48

49

พ้นจากสถานีแรกคือ Findelbach แล้ววิวของเมือง Zermatt จะค่อยๆลับตาไป คงเหลือแต่ภูเขาสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ตลอดสองข้างทาง

50 51

ไม่มีอุโมงค์มาบดบังเหมือนจุงเฟรา ก็ชมวิวข้างทางเพลินไปเลย

52 53 54 55 56 57

สถานี Gornergrat

59

สถานี Gornergrat เป็นสถานีที่มีความสูง 3089 ม.

58

คุณเมฆเจ้าขาใครเรียกคุณมาเยอะแยะกันขนาดนี้ นี่ขนาดแดดเปรี้ยงเลยนะ แต่ก็ยังไม่เห็น Mr. Matterhorn หุบเขาขี้อายเลย

แต่ให้แดดเปรี้ยงแค่ไหนอากาศก็ยังคงติดลบที่ 20 องศาอยู่ อยากจะยืนตากแดดอยู่อย่างนั้น เพราะมือเท้านี่เริ่มไม่มีความรู้สึกแล้ว

60

ระหว่างที่เรารอให้คุณเมฆปลิวไปจาก Mr. Matterhorn จากจุดที่รถไฟจอดเราเดินขึ้นมานิดนึง จะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นยอดเขาสูงอีกหลายลูก

61

65

67

ด้านบนจะมีภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกอยู่ รวมทั้งยังมีโรงแรมที่ระดับความสูงที่สูงที่ในประเทศสวิส ชื่อว่า 3100 Kulm hotel Gornergrat

64

66

เรารอด้วยความหวังว่าจะเห็น Mr.Matterhorn ก็นั่งจิบโกโก้ร้อนไปพลางๆ กินขนม(ที่พกมาจากข้างล่าง)ไปพลางๆ รอแล้วรอเล่า Mr.Matterhorn ก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็นคุณเมฆก็ยิ่งเกาะกลุ่มกันแน่นเชียว สุดท้ายเราก็ต้องลงไปอย่างผิดหวังที่ไม่ได้เห็น Mr.Matterhorn

62

63

68

** อีกครั้งที่ต้องเตือนว่าก่อนจะขึ้นมาให้เช็คสภาพอากาศก่อน ไม่งั้นจะเป็นเยี่ยงนี่ T_T

โบสถ์ St. Mauritius

72

ในตัวเมือง Zermatt เองก็มีหลายที่ที่ให้เราสามารถเที่ยวได้

โบสถ์ St. Mauritius เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สวยงาม ด้านบนประดับด้วยนาฬิกาขนาดใหญ่ ด้านหน้าของโบสถ์มีแตรทองเหลืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่คาดว่าน่าจะไม่สามารถใช้งานได้จริง สังเกตจากการที่มีไม้ยัดอยู่ด้านใน เหมือนจะเป็นการตั้งไว้เพื่อตกแต่งมากกว่า

71

ข้างๆกันจะเป็น Matterhorn Museum ถ้าคุณอยากสัมผัสเรื่องราวและตำนานของ Zermatt และ Matterhorn แล้วที่นี่เป็นที่ที่ตอบโจทย์มาก

70

Bakery in Zermatt

ที่นี่เป็นที่ที่เรามาฝากท้องด้วยทุกเช้า
กลิ่นหอมยั่วยวนใจมาก เค้าจะอบขนมกันใหม่ๆ ทุกเช้าเลย มีให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์

73

เริ่มจากขนมปัง มีขนมปังก้อนใหญ่เบิ้มที่คิดว่ากิน 2 คนยังไงก็ไม่หมด แต่ท่าทางจะแข็งน่าดู และก็มีขนมปังฝรั่งเศสแท่งยาว ที่เราไม่ได้กินไม่รู้จะหั่นยังไง เค้าไม่ค่อยมีแบบพวกขนมปังสอดไส้แบบบ้านเรา

74

75

76

ที่ชอบมากคือ ครัวซอง กะเอแคลร์

  • ครัวซองเราลองทั้งแบบ ธรรมดา แป้งนุ่ม ชุ่มช่ำเนยมากมาย คืออบได้หอมฟุ้งกลิ่นเนยมาก ส่วนครัวซองแบบอัลมอนด์มีไส้นิดนึงก็ดีงาม ชอบที่มันไม่ใส่ซินนามอน บางร้านใส่ซินนามอนนี่ไม่โอเค (จากใจคนที่ไม่ชอบกลิ่นซินนามอน)
  • เอแคลร์ ก็ดีงาม แป้งนุ่ม รสชาติละมุน นุ่มลิ้น ไม่หวานจนเลี่ยนเกินไป

เรามักเข้าใจผิดกันมาตลอดว่าขนมหน้าตาอ้วนกลม บ้างทีมีลวดลายเป็นดอกเกลียว สอดไส้ครีมบ้าง ช็อคโกแลตบ้าง เรามักจะเรียกมันว่า เอแคลร์ (Eclair) แต่จริงคือไม่ใช่

มาเพิ่มสาระเรื่องขนมนิดนึง เวลาเรียกจะได้ไม่เรียกสับสน

▶️ ชูครีม (Choux Cream) และเอแคลร์ (Eclair)เป็นขนมสัญชาติฝรั่งเศสที่ทำมาจากแป้งชนิดเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ รูปทรงของขนม

=>  จริงๆแล้วชูครีมมีชื่อเก๋ๆที่คนฝรั่งเศสมักจะเรียกว่า “ชูซ์ อา ลาเคร์ม” (Choux a la Crème) แปลว่า กะหล่ำปลี เพราะด้วยลักษณะของชูครีม จะเป็นทรงกลมๆคล้ายกะหล่ำปลี สอดไส้ด้วยครีมต่างๆ แต่เนื่องจาก “ชูซ์ อา ลาเคร์ม” ออกเสียงค่อนข้างยาก คิดว่าถ้าออกเสียงตามคนฝรั่งเศสเกรงว่าจะไม่ได้รับประทาน จึงมีการรวบคำให้พูดง่ายขึ้นว่า “ชูครีม” (Choux Cream)

=>  สำหรับเอแคลร์ (Éclair) ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “สายฟ้า” เพราะรูปร่างลักษณะของเอแคลร์ จะมีลักษณะยาวเหมือนสายฟ้า แป้งเป็นแป้งชนิดเดียวกันกับชูครีม ใส่ไส้ครีม ไส้ช็อคโกแลตเหมือนกัน อาจจะมีราดTopping ด้วย ช็อคโกแลต ครีม หรือ นม

สรุปสั้นๆ คือ ชูครีม (Choux Cream) กับ เอแคลร์ (Éclair) เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เพราะทำจากแป้งชนิดเดียวกัน ต่างกันที่รูปร่าง

=>>ขนมหน้าตาอ้วนกลม สอดไส้ครีม = ชูครีม (Choux Cream) หรือใครอยากเรียกแบบเก๋ๆว่า ชูซ์ อา ลาเคร์ม” (Choux a la Crème) ก็ได้

=>>ขนมรูปร่างเรียวยาว เหมือนสายฟ้า = เอแคลร์ (Éclair)

แถมรูปขนมเพิ่มให้อีก อ้วน วนไปเลยค่ะ

7778

สุสานนักปีนเขาใน Zermatt

“I Choose to Climb”
คำพูดสั้นๆ ที่จารึกอยู่บนแผ่นหินหลุมฝังศพบ่งบอกเรื่องราวของนักปีนเขาในอดีตได้เป็นอย่างดี ที่พยายามจะพิชิตยอดเขา Matterhorn จนวาระสุดท้ายของชีวิต

80

ที่ Matterhorn แห่งนี้ในปี 1865 เป็นหนึ่งในภูเขาลูกสุดท้ายของเทือกเขาแอลป์ ที่คณะสำรวจทั้ง 7 คน เดินทางขึ้นไปเพื่อพิชิตจุดสูงสุดบนยอดเขา แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงคณะสำรวจ 3 คนที่รอดชีวิตกลับลงมาจากยอดเขานี้

สุสานแห่งนี้ส่วนมากมักจะฝังนักปีนเขาที่มาจบชีวิตลงที่ Matterhorn หรือหุบเขาโดยรอบ ซึ่งดูจากจำนวนแล้วก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ต้องมาจบชีวิตให้กับยอดเขาที่สวยงามอย่าง Matterhorn

คนเหล่านี้เค้าคงมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เค้ารัก จนวาระสุดท้ายของชีวิต

แม้ว่าที่นี่จะสังเวยชีวิตนักปีนเขาไปไม่น้อย ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมในการมาปีนเขาที่นี่ลดลง ยิ่งเพิ่มความท้าท้ายให้นักปีนเขาจากทั่วทุกมุมโลก อยากจะมาพิชิตยอดเขา Matterhorn แห่งนี้

79

 

Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น)

ก่อนจะลาจากเมือง Zermatt ไปมีความหวังเล็กๆ ว่า Mr.Matterhorn จะโผล่มาให้เราได้เชยชมซักนิด เราจึงเดินมุ่งหน้าไปทางที่ Mr. Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) อยู่

ในที่สุด………..

82

83

Mr. Matterhorn โผล่พ้นจากขอบฟ้ามาให้เราเห็นแบบไกลลิบๆ ตอนนั้นตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก ไม่ให้ตื่นเต้นได้ไง เราขึ้นไปหา Mr. Matterhorn ถึง 2 ครั้ง ทั้งรถไฟ ทั้งเคเบิ้ลคาร์ Mr. Matterhorn ไม่มาให้เชยชมเลย ยิ่งเดินไป เรายิ่งเห็นได้ถึงความสวยงามของเทือกเขานี้ ตั้งสูงเด่นเป็นสง่าเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิด
โดยเฉพาะเวลาที่แดดส่องมาโดนเขาทั้งเขาด้านนึง มันเป็นภาพที่สวยงามมาก น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ตอนที่เราขึ้นไปอยู่ด้านบน ภาพถ่าย ไม่สามารถเก็บบรรยากาศความสวยงามได้อย่างที่ตาเราเห็นจริงๆ

แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยมาคราวนี้ก็ไม่เสียเที่ยว ถึงจะไม่ได้เห็น Mr. Matterhorn ในระดับความสูง 4,000 กว่าเมตร แต่สุดท้ายก็ยังได้เห็น แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแปปเดียว ไว้คราวหน้าเราจะมาแก้ตัวใหม่ ให้ได้รูปถ่าย Mr. Matterhorn ในมุมที่สวยงามให้ได้

84 85

86

เพิ่มเติมสาระบ้างซักนิดนึง

Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ในภาษาเยอรมัน หรือ Monte Cervino (มอนเตแซร์วีโน) ในภาษาอิตาลี
ภูเขารูปทรงสามเหลี่ยมปิรามิด ที่มียอดโค้งลงเล็กน้อย จึงเรียกตรงส่วนนี้ว่า Horn (ฮอร์น) ที่แปลว่า “เขาสัตว์” มีความสูงอยู่ที่ 4,447 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์บริเวณพรมแดนระหว่างเมือง Zermatt ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กับ Breuil-Cervinia ประเทศอิตาลี

88

จุดเด่นของ Matterhorn คือเป็นภูเขารูปทรงปิรามิดที่สูงชันอันตราย จากแนวหน้าผาที่เรียบตั้งแต่ฐานถึงจุดยอด มีเพียงแผ่นหิมะ เกาะยึดอยู่ ทำให้ยอดเขานี้แทบไม่สามารถปีนได้เลย แต่ความยากนี้กลับท้าทายเชิญชวนให้นักปีนเขาจากทั่วโลก ต่างต้องการจะมาพิชิตยอดเขา Matterhorn นี้ เพราะว่าเป็นยอดเขาที่ขึ้นชื่อได้ว่าพิชิตยากที่สุด แต่ละปีมีนักปีนเขาจำนวนไม่น้อยที่นำชีวิตมาทิ้งไว้ที่ยอดเขาที่สวยงามแห่งนี้

89

ด้วยรูปทรงที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Matterhorn ทำให้ภูเขาแห่งนี้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทชื่อดังของโลก ไม่ว่าจะเป็น Toblerone บริษัทช็อคโกแลตที่ผู้คนทั่วโลกต่างชื่นชอบ หรือจะเป็นบริษัทผู้ผลิตหนังรายใหญ่อย่าง Paramount Pictures ที่ใช้สัญลักษณ์ของภูเขา Matterhorn ให้เป็นที่จดจำของผู้คน

87

_______________________________________________________

สามารถติดตามพูดคุยกับเราได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้

Facebook : https://www.facebook.com/TravellingAsACouple

Website :  https://travelling-as-a-couple.com/

Instagram : Travelling As A Couple