ปกติแล้วเวลาที่เราเดินทางไปต่างประเทศ เราจะเลือกโรงแรมหลักๆ เลยคือ

ไม่ไกลจากรถใต้ดิน หรือ Public Transport

เพื่อที่จะไม่ลำบากในการขนย้ายกระเป๋า นึกสภาพตอนที่เราไปต่างประเทศ เราต้องขนกระเป๋าใบใหญ่ไปแน่นอน ซึ่งถ้าโรงแรมไกลจากสถานีรถไฟมาก กว่าจะลากกระเป๋าไปถึงคงจะเสียเวลา และกินพลังงานเยอะน่าดู ด้วยเหตุเผลพวกนี้ เราจึงไม่เลือกที่พักที่ต้องต่อรถหลายๆ ต่อ หรือว่าเดินทางไกลมากเกินไป

จะรู้ได้ไง ว่าที่พักเราไกลจากสถานีรถไฟไหม ก็ให้ลองเอาพิกัดของโรงแรมที่เราเลือกไป search ใน google map ดู แล้วก็ดูบรรยากาศรอบๆโรงแรม โดยการใช้ Google map นั้นแหละ แต่ลองเปลี่ยนเป็นแบบ Street view ดู เพือจะได้สำรวจด้วยว่าสถานที่จริงๆเป็นยังไง มีร้านค้าร้านอาหารรอบๆ พอให้เราได้หาอะไรกินไหม (ภาพจาก street view อาจจะไม่ใช่ปัจจุบันมาก แต่ก็ยังพอเห็นภาพได้คร่าวๆ)

จองที่พักล่วงหน้านานๆ ก่อนเดินทาง

เพราะนอกจากจะได้ที่พักในราคาที่ถูกแล้ว เรายังสามารถที่จะเลือกทำเลที่เราอยากพักได้ด้วย โดยเฉพาะการไปช่วงหน้าเทศกาลหรือช่วงที่เป็นฤดูท่องเที่ยว โรงแรมทำเลดีๆมักจะถูกจับจองไปอย่างรวดเร็ว

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยๆ

ในแต่ละทริปเราจะพักอย่างน้อยเมืองละ 2 คืน แล้วใช้วิธีการนั่งรถไฟไปเที่ยวในเมืองใกล้เคียงแทน เพราะจะได้ไม่เสียเวลาในการลากกระเป๋าไปมา

แต่ว่าทริปนี้ เราไปเมืองเดียว เลยไม่ต้องคิดมากเรื่องการเลือกโรงแรมหลายๆที่

ดูรีวิวที่พักก่อนจอง 

อย่าเชื่อรูปภาพจาก Website ที่พักหรือพวก Agoda booking.com มากนัก เพราะรูปพวกนี้จะทำให้สวยงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเรา บางทีไปเจอของจริง อาจจะต้องหารจากภาพที่เห็นไปอี๊กกกก นี่พูดจากประสบการณ์ตรง ภาพใน website สวยงามจนต้องร้อง ว้าววววววววว แต่พอเห็นของจริงแทบจะร้อง เฮ้ยยยยย ต่างกันแบบนี้ก็ได้เหรอ หลักจากนั้นมา การเช็ครีวิวเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนเลือกห้องพักทุกครั้งเลย

หารูปแบบของจริงดูได้ที่ไหนบ้าง ??

ส่วนมากเราจะดูจาก Tripadvisor ใส่ชื่อที่พักที่เราจะจองลงไป แล้วกดดูตรงภาพถ่ายจากนักท่องเที่ยวดู รูปนี้จะเป็นรูปสถานที่จริง จากคนที่ไปมาแล้วจริงๆ ไม่มีการจัดฉากใดๆ ส่วนมากจะเขียนฟีดแบคหรือให้คะแนนอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นข้อมูลจาก Tripadvisor ก็น่าเชื่อถือได้ในระดับนึง

ราคาเป็นสิ่งสำคัญ

ต้องดูความต้องการของเราด้วยว่าเราต้องการที่พักแบบไหน ถ้าเราอยากให้มีทุกอย่างที่เราต้องการครบถ้วน ราคาก็จะแพงตามมาด้วย ดังนั้นเราควรวางแผนก่อนว่าเรามีงบประมาณแค่ไหน ที่พักแบบไหนที่เหมาะกับเรา ถ้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายหน่อย ก็ให้เลือกที่พัก แบบ Hostel หรือพวก Bed & Breakfast

เวลาที่เราเช็คราคาที่พักเราจะเช็คจากหลายๆแหล่ง ทั้ง Agoda booking.com หรือแม้กระทั่ง Website ของโรงแรมเอง เพราะบางทีการจองผ่าน Website ของที่พักเองอาจจะถูกกว่าการจองผ่านพวก Agoda หรือ booking.com อีก

ที่พักที่อเมริกานี่ก็แพงเหลือเกินนนน แล้วคราวนี้เราก็เอาพี่ควินน์มาด้วย เราจะเลือกโรงแรมแบบไหนดีนะ

นอกเหนือจากข้างบนที่ว่ามาแล้ว เรามีโจทย์ต่อมา เนื่องจากเอาลูกมาด้วย แล้วลูกก็แค่ 2ขวบกว่าๆ เอง เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญของเด็กวัยนี้ เราไม่สามารถไปนั่งตามร้านอาหาร ทุกมื้อ เหมือนไปเที่ยวกันสองคน สิ่งที่เราต้องการเพิ่มเติมคือ

ที่พักที่มี “ครัว”

ทำไมครัวจึงจำเป็นสำหรับเรา เพราะว่าลูกไม่รู้ว่าจะตื่นกี่โมง แล้วตื่นมาบางที นางก็อยากกินข้าว อยากกินโน่นนี่นั่นเลย แล้วเด็กเล็ก ไปพูดให้รอ เดี๋ยวเราออกไปกินข้างนอกกันนะครับ นางไม่เข้าใจแน่นอน หรือบางทีนางลีลา ไม่ยอมอาบน้ำ แต่หิว เราเลยตัดสินใจว่า หาห้องพักที่มีครัวดีกว่า ตอนที่ไปซานฟรานซิสโก โรงแรมไม่มีครัว แต่ไปกันสองคน ก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะหากินรอบๆ โรงแรมได้หมด

สุดท้ายเราจะจบมี่โรงแรม Hollywood Orchid Suites

บอกก่อนว่าโรงแรมนี้ไม่ใช่โรงแรมใหม่ แต่ก็ไม่ได้เก่าจนน่าเกียจ ไม่ใช่โรงแรม 4 -5 ดาว แต่สำหรับเราหลังจากไปใช้บริการ โรงแรมนี้ถือว่าดีงามเลย พนักงานต้อนรับให้บริการดีมาก ตั้งแต่เข้าไปวันแรก จนวันกลับ ที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วย แต่อากาศหนาวมาก ไม่มีคนไปใช้บริการซักคนเลย

ราคาห้องพักที่นี่ตกคืนละ 6000 บาท รวมพวก City tax แล้ว ถือว่าราคาถูกกว่าตอนไปเที่ยวซานฟรานซิสโก แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับที่แพงอยู่ ถ้าเทียบกับที่พักในยุโรป

มีอาหารเช้าให้แต่เป็นแบบ Continental คือ ครัวซอง ขนมปัง ชา กาแฟ นม คอนเฟลก โยเกิร์ต แต่ที่นั่งกินมีไม่กี่โต๊ะ ถ้าไปช้าก็โต๊ะเต็ม

แต่ห้องพักที่เราได้ชั้น 2 ติดกับที่กับที่กินอาหารเช้าเลย ถ้าโต๊ะเต็ม เราก็จะเดินไปหยิบ แล้วเอามานั่งกินในห้อง

เปิดประตูห้องพักเข้ามา จะเจอกับห้องรับแขก ที่ขนาดใหญ่เลย ลูกนี่วิ่งเล่นได้แบบสบายมาก ไม่อึดอัน

ถัด จากห้องรับแขกมา ก็จะเป็นโต๊ะกินข้าวขนาด 4 ที่นั่ง มีพวกเกลือ พริกไทย ไว้ให้ด้วย

ติดกันกับโต๊ะกิน จะเป็นครัว อุปกรณ์คือครบมากกกก ครบกว่าที่บ้านอี๊ก มีเตาแก๊ส 4 หัว ที่บ้านนี่แค่ 2 หัวเองจ๊ะ เตาอบขนาดใหญ่ ตู้เย็นแบบไซส์ใหญ่เบิ้ม ใส่ของไม่เต็มแน่นอน ส่วนเครื่องครัวก็มาครบ กระทะ ตะหลิว หม้อ กะละมัง มีด จาน ชาม ช้อน อ่อ สิ่งที่ขาดไปคือ เขียง ทรมานมาก ตอนที่จะหั่นอะไร

ด้านข้างตู้เย็นมีที่รีดผ้า เตารีด ให้ครบ

อีกฝั่งนึงของครัวก็จะเป็นที่ล้างจาน เตาไมโครเวฟ เตาติ๊งก็มานะจ๊ะ มีเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลให้ด้วย มีแคปซูลมาให้ 3 อันเป็นของสตาบัค แต่ว่าไม่เติมเลยนะ พัก 6 คืนก็ให้ 3 อัน

ด้านหน้าของครัว จัดเป็นเคาเตอร์ไว้ให้ด้วย แต่ถามว่าได้นั่งไหม ไม่ได้นั่งจ้า เพราะเก้าอี้สูงเกินไป กลัวว่าลูกจะตกลงมา เก้าอี้ 3 ตัวตรงเคาเตอร์ ก็เลยกลายเป็นที่แขวนเสื้อ

มาถึงห้องนอนบ้าง เตียงเป็นขนาดคิงส์ไซร์เลย นอน 3 คน พ่อแม่ลูกไม่อึดอัน ด้านขวาของเตียงนอน เป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ด้านนอกตรงทางเดินก่อนเข้ามาที่ห้องนอน ก็มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่เช่นกัน เลือกได้เลยว่าจะเก็บตู้ไหน

ห้องน้ำที่นี่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีฮีทเตอร์ในห้องน้ำ กันหนาวได้ดี เวลาที่อาบน้ำเสร็จใหม่ๆ มีอ่างล้างหน้าแยกอยู่ด้านนอกหน้าห้องน้ำ ก็สะดวกดีเวลาตอนเช้า ถ้าอีกคนเข้าห้องน้ำ อีกคนก็แปรงฟันได้

โดยรวมเราว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ดีโรงแรมนึงเลย เป็นกึ่ง Service apartment ด้วยซ้ำ

สรุปข้อดีข้อเสีย ของโรงแรมตามความคิดเรานะ

ข้อดี

  • อยู่ไม่ไกลจากรถใต้ดิน Hollywood เดินทางสะดวก
  • อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยว เช่น Hollywood Hall of Frame, Hollywood Blvd ห้าง Hollywood & Highland
  • ห้องกว้างขว้าง ถึงจะเก่า แต่สะอาด พนักงานให้บริการดี ตั้งแต่พนักงานต้อนรับยันแม่บ้าน มีครัว อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆครบมาก เหมือน Service apartment เลย
  • มีอาหารเช้าให้ ถึงแม้ว่าไลน์อาหารเช้าจะเป็นไลน์เล็กๆ แต่ก็ยังดี ถือว่ามีอะไรรองท้องให้เรากินตอนเช้า
  • มีที่จอดรถให้บริการ (สำหรับคนที่เช่ารถขับ) แต่ว่าเราไม่ได้ใช้บริการนี้

ข้อเสีย

  • ราคาถือว่าแรงใช้ได้ แต่ก็เป็นเรทปกติเลยของที่อเมริกา
  • ลิฟท์อยู่ชั้นใต้ดิน และเล็กมาก ไปวันแรก ต้องแบกกระเป๋าขึ้นบันไดไป หนักมาก
  • จุดที่สูบบุหรี่ อยู่ตรงประตูทางเข้าโรงแรมเลย คือ ถ้าใครมานั่งสูบเดินออกมาก็คือได้กลิ่น
  • ไลน์อาหารเช้าเล็ก และโต๊ะกินข้าวมีจำนวนจำกัด ถ้ามาช้า ก็ต้องมานั่งอีก 2 โต๊ะที่เค้าจัดไว้ด้านนอก
  • สำหรับบางคน อาจจะไม่ชอบที่โรงแรม และห้องจะดูเก่านิดนึง แต่สำหรับเรา เก่าไม่เป็นไร ขอให้สะอาด ที่นี่เราถือว่าเรารับได้

ก่อนจะจบการรีวิวโรงแรม อยากจะอวดอาหารที่ทำซะหน่อย อิอิ เอาจริงๆ คือเป็นคนที่ทำอาหารไม่ค่อยเป็น แต่พอมีลูก ก็พอจะทำได้บ้าง เอาแบบที่ง่ายๆ

เมนูไข่ต้ม อันนี้ต้มไว้เผื่อลูกกินตอนเช้า นางตื่นมาหิว ก็จัดไปก่อนเลย ไข่ต้มกับนม แล้วเราก็พกติดตัวเวลาไปเที่ยวด้วย เผื่อไปร้านอาหาร แล้วลูกกินอาหารที่ร้านไม่ได้ ก็จะได้มีไข่ต้มเอาไว้สำรอง

อาหารเช้า ของเราไปซื้อของสดมาจาก Super Market ใกล้ๆ แล้วก็เอามาทำเป็นอาหารเช้าแบบง่ายๆ เพราะว่าอาหารเช้าของโรงแรม ไม่มีเนื้อสัตว์เลยจ้า แป้งล้วนๆ พวกขนมปัง ครัวซอง มัฟฟิน

ที่หนีบปู กับไม้แคะ อันนั้นเราพกไปจากเมืองไทยเอง เพราะกะว่าจะได้กิน Lobster เดี๋ยวจะไม่มีที่บีบก้าม

Lobster……. เมนูโปรดของเราเลยจ้า กะว่ามาทริปนี้มีครัว ต้องได้กิน Lobster แน่นอน สุดท้ายเราก็จัดไป ทั้งทริป ประมาณ 10 ตัวได้

เราหาซื้อ Lobster สดได้ตาม Super Market ใหญ่ๆ อันนี้เราซื้อมาจาก Whole Food Market แต่เป็นแบบไม่มีหัวกับก้าม ตกตัวละ 9.99 USD ก็ประมาณตัวละ 300 กว่าบาท ราคานี้หาที่ไทยไม่ค่อยจะมี ถ้าเป็น Lobster สดๆๆ

มีเตาอบแล้วเราก็ต้องลองใช้ซะหน่อย อันนี้อบซี่โครงเนื้อ บาบีคิว ซอสก็ซื้อมาหมักเอง เป็นซอสสำเร็จรูป แต่อบมาแล้ว เนื้อโคตร…เหนียว ก็ว่าทำไม เค้าชอบกินซี่โครงหมูกันมากกว่า

เมนูเด็ด พิชิตใจพี่ควินน์ทริปนี้ คือ…… สปาเก็ตตี้เนื้อสับ

ลูกชอบมากเลยจ้า เรียกร้องขอกินหลายมื้อเลย สูดเส้นปรื๊ดๆ ติดใจ จนต้องกลับมาทำต่อให้กินที่เมืองไทย

ปิดท้ายด้วยรูปครอบครัว วันครบรอบ 18 ปีของพ่อกับแม่ ไม่ได้ออกไปดินเนอร์หรูหราที่ไหนเลยจ้า ฝนตกตลอดบ่ายๆ จะออกไปก็กลัวลูกป่วยเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุกอี๊ก สุดท้ายก็จบด้วยการรื้อหาของที่มีอยู่ในตู้เย็น ทำกับข้าวง่ายๆ ออกมากินด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก

อาจจะเป็นดินเนอร์ที่ไม่ได้หรูหรา แต่ก็เป็นดินเนอร์ที่มีความสุขที่สุด เพราะเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน


สามารถติดตามพูดคุยกับเราได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้

Facebook : https://www.facebook.com/TravellingAsACouple

Website :  https://travelling-as-a-couple.com/

Instagram : Travelling As A Couple