หลังจากทริปซานฟานซิสโก ที่เราไม่ได้พาลูกไปเที่ยวด้วย ก็เลยอยากจะ Challenge ตัวเองกันหน่อย ว่าถ้าเอาลูกไปเที่ยวไกลๆจะเป็นยังไงนะ
ทริปแรกที่เคยขึ้นเครื่องบิน คือตอนลูกอายุ 1 ขวบครึ่ง ไปแค่สิงคโปร์ ไฟลท์แค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเองงงง แล้วพี่ควินน์ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
เราเคยเขียนเรื่อง เด็กน้อยขึ้นเครื่องครั้งแรก….เตรียมตัวไงดี ไปหาอ่านได้เลยจ้า แต่ครั้งนั้นกับครั้งนี้แตกต่างกันมากกกก 2 ชั่วโมงครึ่งกับ 18 ชั่วโมง !!!
การเตรียมตัวอาจจะคล้ายๆ เดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือด้วยวัยลูกเราที่โตขึ้น เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเด็ก ที่เค้ามักจะเรียกว่า Terrible two สิ่งที่เรากลัวที่สุด คือการที่ลูกไปร้องโวยวายบนเครื่องบน โดยที่เราควบคุมเค้าไม่ได้
การเตรียมตัวก่อนขึ้นเครื่อง
การเตรียมตัวจะคล้ายๆกับ เด็กน้อยขึ้นเครื่องครั้งแรก….เตรียมตัวไงดี ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ต้องอบอุ่นนิดนึง ขนมที่ลูกชอบต้องพร้อม multi media ต้องมา
แต่ความต่างก็คงจะเป็นเรื่องของระยะเวลา ที่ไฟล์ทค่อนข้างยาว แล้วต่อเครื่องบิน 2 ต่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมมันต้องมากกว่าเดิมเยอะเลย
ขนม
ไฟล์ทสิงคโปร์ เราเตรียมไปนิดเดียว แต่ทริบ LA นี่คือ เตรียมไปเยอะมาก ต้องมีความหลากหลาย สามารถหยิบ ขึ้นมาได้ เราเลือกขนมที่ลูกชอบ แต่ไม่ได้ให้เค้ากินบ่อย พอเค้าเจอบนเครื่องจะได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ และเอาไว้ใช้เวลาที่เครื่องขึ้นลงด้วยจะได้ไม่ปวดหู
ของเล่น
Surprise toy ทริปนี้ มีประมาณ 5 อัน นี่สำหรับขาไปขาเดียว ขากลับค่อยไปหาที่โน่น พี่ควินน์เป็นเด็กที่ชอบรถมาก เราเลยเตรียมรถ แบบที่ต่างกัน ประมาณ 5 คัน มีรถตุ๊กตุ๊ก รถกระบะ รถโฟร์วิล รถโบราณ รถที่เป็นตัวการ์ตูน Car กะว่าตลอด 18 ชม. ถ้าเลวร้ายจริงๆ คงหยิบมาใช้ได้ครบ สุดท้ายใช้ 3 คัน จริงๆ ต้องบอกว่า แค่ 2 คัน อีกคัน ดันหล่นออกมาแล้วพี่ควินน์เห็น ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

อาหาร
คราวนี้เราไม่ได้กังวลเรื่องอาหารของลูกเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับทริปแรก ที่เค้าเพิ่งขวบครึ่ง ยังกินอะไรไม่หลากหลาย ทริปนี้พี่ควินน์ 2 ขวบ 4 เดือนแล้ว สามารถกินอาหารปกติทั่วไปได้แล้ว ตอนที่จองตั๋วเครื่องบินเราเลยระบุ ความต้องการว่า ต้องการอาหารเด็กธรรมดา ไม่ใช่แบบอาหารเด็กเล็กแล้ว เราเตรียมนมไปหลายกล่องเลย แต่ด้วยความตื่นเต้น ลูกกินไป 1 กล่องถ้วน แม่นี่ถือเป้ใส่นมจนปวดหลัง
ตัวอย่างของอาหารเด็กบนเครื่องบิน
เราว่าอาหารเด็กบางทีอร่อยกว่าอาหารผู้ใหญ่อีก อย่างข้าวผัดอเมริกัน ของเด็กนี่คือรสชาติดีเลย ลูกกินไป ที่เหลือแม่ก็จัดการเกลี้ยง

อีกจานเป็นแพนเค้กกับไส้กรอก ไส้กรอกคือดีมาก พี่ควินน์คือติดใจเลย กินไปเกือบหมด 2 ชิ้น

ตุ๊กตาพี่หมา
เราว่าเด็กทุกคนต้องมีตุ๊กตาเน่าเป็นของตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่เค้าจะรู้สึกอุ่นใจ และเอาไว้ใช้กอดตอนนอน ซึ่งของพี่ควินน์เป็นตุ๊กตาพี่หมา เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้จริง ถ้าขาดไปนี่มีโวยวายแน่นอน พี่หมานี่เป็นหนึ่งใน Checklist หลักๆ เลย ที่ห้ามลืมเด็ดขาด !!!!

แพมเพิส และ เสื้อผ้าสำรอง
เนื่องจากทริปนี้การเดินทางค่อนข้างยาว แล้วเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราเลยเตรียมแพมเพิมไปหลายอัน เปลี่ยนระหว่างต่อเครื่อง เปลี่ยนช่วงที่บินยาว 13 ชั่วโมง ส่วนเสื้อผ้าที่ต้องเตรียม เพราะ เด็กเล็ก บางทีกินเลอะเทอะ บางทีอาจจะมีอาเจียน เมาเครื่อง ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เราคาดการณ์ไม่ได้ทั้งสิ้น เตรียมไปเผื่อเหลือเผื่อขาดไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร
วันเดินทางไป
อเมริกาไม่ได้มีไฟล์ทเดินทางให้เลือกเยอะมาก เราเดินทางด้วยสายการบิน EVA airline ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ ตีสอง!!! ซึ่งเป็นเวลาที่ไม่ดีเลย เพราะมันดึก แต่ก็ทำไรไม่ได้
ทริบขาไป เวลาเดินทางทั้งหมด 18 ชั่วโมง
BKK – Taipei => 3 ชั่วโมงครึ่ง
รอต่อเครื่องอีก 4 ชั่วโมง
Taipei – LA => 11 ชั่วโมงครึ่ง
เราไปถึงสนามบินตอน ห้าทุ่ม ซึ่งลูกหลับตลอดทาง แม่สามารถเดินเล่น Duty free โดยที่ลูกไม่ตื่นเลย ดีมากลูกปล่อยให้แม่ได้ช๊อปปิ้งแบบเพลิน ๆ

แต่สิ่งที่แม่เป็นกังวลที่สุด คือ ลูกจะตื่นตอนที่ต้องขึ้นเครื่อง และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม่เป็นลม เอาไงดี ตอนนั้นเค้าบอก อีก 15 นาทีจะเรียกขึ้นเครื่องแล้ว สุดท้ายเลยให้พ่อต๊อบกล่อมให้พี่ควินน์เค้าหลับ แม่นี่คือก็ลุ้นไปอีก ว่าลูกจะหลับไหม เพราะว่าตอนนั้นก็มีเด็กอีกคนที่เดินทางไปพร้อมกัน วิ่งเล่น อย่างสนุกสนาน ไม่มีทีท่าว่าจะหลับเลย
สุดท้ายพี่ควินน์หลับ แม่นี่โล่งสุดๆ มาลุ้นอีกทีตอนที่วางพี่ควินน์บนที่นั่งตัวเอง ข้อดีของการที่เด็กอายุเกิน 2 ขวบ คือเค้ามีที่นั่งเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมานั่งตักเราแล้ว นั่งตักแม่เป็น 10 ชั่วโมงก็ไม่ไหวจ้า ข้อเสียคือ ลูกเสียค่าตั๋วเครื่องบินอีกนิดจะเท่าผู้ใหญ่แล้ววว
ความยากคือตอนเครื่องขึ้นลง ต้องเอาที่วางแขนลง รัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย เลยออกมาเป็นสภาพอย่างที่เห็นคือ เอาหมอนลองไว้ข้างนึง ให้พี่ควินน์หนุน แล้วก็เอาขาพาดที่วางแขนไว้ รัดเข็มขัดให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัย แต่ตอนเครื่องขึ้นลง เราต้องเอามือกันไว้ ไม่ให้ลูกไหลตกลงมา พอเครื่องขึ้นเรียบร้อย ถึงจะเอาที่วางแขนขึ้นได้ ก็จะนอนยาวแบบสบายๆ

หลับสบายยาวๆ จนถึงไทเปเลยจ้า ขาแรกแม่รอดแล้วววว 3 ชั่วโมงครึ่ง คือหลับตลอด มารอลุ้นกัน กับอีก 11 ชั่วโมงครึ่งที่เหลือว่าจะเป็นยังไง
ระหว่างรอต่อเครื่องที่ไทเป ใช้เวลา 4 ชั่วโมง เลยมีเวลาเยอะในการหาอาหารเช้ากิน พาพี่ควินน์ไปดูเครื่องบินขึ้นลง ให้อารมณ์ดีๆ
ไง ….. นอนชิลมาก ดูเครื่องบินขึ้นลงแบบเพลินๆ เลย กินขนมไปด้วยอีก สบายสุดๆ

และแล้วเวลาแห่งความจริงก็มาถึงทริปเดินทาง 11 ชั่วโมงครึ่งเริ่มต้นแล้ววว ลูกไม่หลับเลยจ้า เพราะเวลาที่ขึ้นเครื่องคือ 10 โมงเช้าที่ไทเป เท่ากับ 9 โมงเช้าที่เมืองไทย ลูกกำลังคึกได้ที่เลย
อุปกรณ์เอนเตอร์เทรน ต้องงัดออกมา ฟังเพลงบ้าง ดูคลิปบ้าง หาของรอบตัวให้เล่นบ้าง ของเล่นสำหรับสายการบิน EVA airline ไม่เหมาะกับเด็กเล็กเลย เพราะสิ่งที่เค้าให้มาเป็น Jigsaw ไดโนเสาร์แบบสามมิติ ซึ่งไม่ได้ดึงดูดใจพี่ควินน์เลย สรุปคือเก็บกลับบ้าน ไม่ได้แกะออกมาเล่นเลย

ตลอด 11 ชั่วโมง ก็กิน เล่นของเล่นที่เป็น Surprise toy ที่แม่เตรียมไว้ ดูคลิปการ์ตูน เอาจริงๆ เด็กเล็กก็ไม่ควรดูในจอโทรศัพท์เท่าไหร่หรอก แต่ในช่วงที่อยู่บนเครื่องแบบนี้ อะไรที่ทำให้ลูกสงบได้ ก็คงต้องผ่อนปรนมาบ้าง แต่ก็ต้องมีกติกาให้ชัดเจน
ระหว่างไฟล์ทเราพยายามหาอะไรให้เค้าได้ทำเองทุกอย่าง เค้าจะได้ไม่รู้สึกเบื่อ เจาะกล่องน้ำผลไม้เองยังสนุกเลย อะไรก็ได้จริงๆ ที่จะเอนเตอร์เทรนลูกให้อยู่กับที่ และไม่ร้องโวยวาย

สรุปคือ ขาไป 18 ชั่วโมงแม่รอดจ้า ลูกไม่ร้องไห้เลย พี่ควินน์สามารถนั่งอยู่กับที่ได้ โดยที่เล่นของเล่นที่เราเตรียมไว้ แล้วก็สิ่งเอนเตอร์เทรนรอบๆ ตัว และสามารถหลับได้ โดยมีพี่หมาเป็นตัวช่วยให้ไม่งอแง
ในภาพนี่คือหลับตั้งแต่บนเครื่อง และยาวไปจนถึงโรงแรมที่พักเลยจ้า

การเดินทางขากลับ
หลังจากการเดินทางขาไป ทำให้พ่อกับแม่สบายใจไปเยอะเลยว่าลูกไม่ได้ทำให้หนักใจ ก็ต้องมาลุ้นขากลับอีก เพราะเด็กเล็ก อะไรก็เกิดขึ้นได้ ขาไป 18 ชั่วโมงว่าพีคแล้ว ขากลับพีคกว่า รวมระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมด 20 ชั่วโมง
LA – Taipei => 14 ชั่วโมง
รอต่อเครื่อง 2 ชั่วโมง
Taipei – BKK => 4 ชั่วโมง
ขากลับแม่ก็ซื้อของเล่น Surprise toy ไว้หลายชิ้นเหมือนเดิม ถอยมาจาก Walmart แบบเป็นแผง 5 คัน ค่อยหยิบออกมาเล่นทีละคัน
ความพีคของขากลับคือ พี่ควินน์พยายามฝืนไม่ยอมนอน แล้วเรารู้สึกว่าหลังจากจบทริป ลูกพูดมากขึ้นอีก 10 เท่า ไม่ร้องไห้ แต่พูดเล่าเรื่องที่ไปเที่ยวมาไม่หยุดเลยจ้า เล่าว่าควินน์ไป Disneyland มานะ หม่าม้า ไปเจอ Micky mouse ไปเจอ Pluto ด้วย แล้วควินน์ก็นั่งรถไฟ รถบัสเยอะแยะเลย เล่าวนไปค่ะคุ๊ณณณณ บางช่วงก็คือหัวเราะเสียงดังไปอี๊กกก ผ่านไปเกือบ 4 ชั่วโมงถึงจะยอมนอน แม่กลับพ่อนี่คือต้องผลัดกันคุยกับพี่ควินน์

สุดท้ายพี่ควินน์ก็ยอมนอน ที่นี้ นอนยาวไปเลย 8 ชั่วโมง ตื่นมาอีกทีก็ถืงสนามบินที่ไทเปเลย แม่กับพ่อนี่น้ำตาแทบไหล ได้นอนบ้างแล้วววว

ระหว่างรอต่อเครื่อง จากไทเป กลับมากรุงเทพ คราวนี้รอแค่ 2 ชั่วโมง ถือว่าไม่นานมาก เดินเล่นแปป ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว
การเดินทางระหว่าง ไทเปมากรุงเทพ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง อือฮือ ขานี้พี่ควินน์แทบจะไม่นอนอีกแล้ววว ก็เลยต้องยอมให้กดหน้าจอที่เป็นเกมส์ของเด็กๆ เล่นเพื่อฆ่าเวลา เพลินไปสิคร๊าบบ

ขากลับได้เมนูไส้กรอก ที่พี่เค้าติดใจมาก กินเพลินไปเลย เกือบหมด 2 อัน

พี่ควินน์มานอนแบบ 45 นาทีสุดท้ายก่อนที่เครื่องจะลง หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แม่นี่แบบนอนแค่ 45 นาทีก็ยังดี ให้แม่กับพ่อได้พักบ้าง

ประสบการณ์การพาลูกน้อยขึ้นเครื่องร่วม 20 ชั่วโมง ก็ไม่ได้เลวร้ายแบบที่คิด เด็กเล็กบางทีเราก็เดาอารมณ์เค้าได้ยาก การเตรียมตัวเป็นเครื่องสำคัญ ของเล่น ของกิน ตุ๊กตาเน่า นี่จำเป็นอย่างให้ขาด แต่สุดท้ายก็อยู่ที่อารมณ์เด็กน้อยล้วนๆ
การพาลูกมาเที่ยวด้วย ก็มีความสุขอีกแบบ เราได้เห็นพัฒนาการของเค้าแบบก้าวกระโดดหลังจากกลับจากทริป LA ทำให้เราคิดว่า ทริปต่อๆ ไป เราต้องพาเค้าไปด้วยแน่นอน ยิ่งพี่ควินน์ทำตัวน่ารักแบบนี้ด้วย เหมือนจะรู้เลยว่าถ้างี่เง่า พ่อกับแม่อาจจะถอดใจ ไม่กล้าพาไปเที่ยวอีก ก็เลยทำตัวน่ารัก ถึงน่ารักมาก ให้พ่อแม่สบายใจ
พ่อแม่คือคนที่รู้จักลูกดีที่สุด การเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของแต่ละบ้านอาจจะไม่เหมือนกัน หวังว่าประสบการณ์ของบ้านเราจะเป็นประโยชน์กับบ้านอื่นไม่มาก็น้อยนะ
สามารถติดตามพูดคุยกับเราได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้
Facebook : https://www.facebook.com/TravellingAsACouple
Website : https://travelling-as-a-couple.com/
Instagram : Travelling As A Couple